เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเปิดผลประกอบการไตรมาส 3 (เมษายน – มิถุนายน 2568) ทำรายได้รวม 4,038 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 212 ล้านบาทเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กวาดรายได้หลักจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,442 ล้านบาท พร้อมเปิด 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 4,200 ล้านบาทในทำเลกรุงเทพฯและต่างจังหวัด พร้อมทำกำไรจากการขายที่ดินทั้งในไทยและเวียดนามเพื่ออุตสาหกรรม กว่า 400 ล้านบาท
ธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 3 (เมษายน – มิถุนายน 2568) บริษัทสามารถสร้างการเติบโตของธุรกิจได้เป็นอย่างดีทั้งในส่วนของรายได้และกำไร ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทรัพย์สินในพอร์ตโฟลิโอให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมด้วยการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินทุน เพื่อรักษาเสถียรภาพและคงสภาพคล่องทางการเงิน ภายใต้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นในการรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมสุทธิ 4,038 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 212 ล้านบาทเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้หลักมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,442 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าและค่าบริการ 834 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆอีก 762 ล้านบาท
โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ได้เปิด 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 4,200 ล้านบาทในทำเลกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ได้แก่ โกลดีน่า สุขุมวิท–แบริ่ง ทาวน์โฮมระดับพรีเมียมแบรนด์ใหม่ในโซนตะวันออก (East Business District : EBD) รวมถึงโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีทั้งแกรนดิโอ ขอนแก่น–มิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น และแกรนดิโอ โคราช–เทอร์มินอล จังหวัดนครราชสีมา โดยสามารถปิดยอดพรีเซลของทั้ง 3 โครงการรวมกันได้กว่า 1,000 ล้านบาทภายใน 2 วันหลังเปิดขาย สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีงบการเงิน 2568 (กรกฎาคม–กันยายน 2568) มีแผนเปิดเพิ่ม 2 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท
ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม สามารถสร้างอัตราการเช่าเฉลี่ยของพอร์ตโฟลิโอในไทยและต่างประเทศสูงถึง 93% นับเป็นอัตราการเช่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ปัจจัยหลักมาจากความต้องการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งงในไตรมาส3นี้ บริษัทได้ส่งมอบอาคารคลังสินค้าพื้นที่ประมาณ 24,000 ตารางเมตรให้กับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศเวียดนาม รวมถึงมีกำไรจากการขายที่ดินทั้งในไทยและเวียดนามกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการบริหารจัดการที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ในส่วนของอาคารสำนักงานและรีเทล มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราค่าเช่าของการต่อสัญญาใหม่ โดยบริษัทสามารถรักษาอัตราการเช่าในระดับสูงถึง 91% ด้านธุรกิจโรงแรมมีรายได้ปรับลดลงจากผลกระทบจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยลดลง และเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา