แอสเสท เวิรด์ คอร์ปฯสร้างผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 เติบโตแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 5,193 ล้านบาท เติบโต 7.2% กำไรสุทธิ 1,148 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจโรงแรมสร้างรายได้ 2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า รวมทั้งการเติบโตที่แข็งแกร่งของโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ท “Jurassic World: The Experience” ดันรายได้กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าเติบโตก้าวกระโดด 44.0% ด้วยยอดจำหน่ายบัตรเข้าชมมากกว่า 200,000 ใบ ภายใน 3 เดือนแรก
วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ที่มีความสมดุล โดยมีรายได้รวม 5,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) 2,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% และกำไรสุทธิ 1,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ประสิทธิภาพ ภายใต้โครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง และพอร์ตโฟลิโอที่สมดุลระหว่างกลุ่มธุรกิจหลัก พร้อมขยายพอร์ตอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง รวมมูลค่าทรัพย์สินถาวร 215,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4%
โดยกลุ่มโรงแรมและการบริการ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ทระดับลักชัวรี ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการดึงดูดฐานลูกค้าคุณภาพกว่า 710 ล้านคนจากทั่วโลก ด้านกลุ่มอาคารสำนักงานเติบโตจากกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกด้วยแนวคิด AWC’s Lifestyle Destination ที่สร้างมูลค่าเพิ่มและขยายฐานผู้เช่าอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทยังได้เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ Sustainable Growth-Led Strategy เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ผ่านการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินคุณภาพทั้งจาก Organic Growth และ Inorganic Growth โดยการเปิดโครงการใหม่และแปลงทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Developing) เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating) โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีทรัพย์สินดำเนินงานเพิ่มเข้าสู่พอร์ตโฟลิโอคุณภาพ ได้แก่ โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย,โรงแรม จุบีลี เพรสทีจน์ รัชดาภิเษก,โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา และ Jurassic World: The Experience คิดเป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ช่วยสร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติมให้แก่บริษัท
ส่วนกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้ 2,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 1,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% หากไม่รวมกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอสังหาฯเพื่อการลงทุน รายได้ของกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลจะเพิ่มขึ้น 24.1% และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) เพิ่มขึ้น 24.8% เป็นผลมาจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าที่เติบโตก้าวกระโดด 44.0% จากแรงหนุนสำคัญจากการเปิด “Jurassic World: The Experience” ที่ตั้งอยู่ในโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ซึ่งสามารถจำหน่ายบัตรเข้าชมได้มากกว่า 200,000 ใบภายใน 3 เดือนแรก ส่งผลให้โครงการเอเชียทีคมีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 26.3% และอัตราการเช่าพื้นที่ประมาณ 85% เพิ่มขึ้น 15% ทำให้กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้ามีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น 9.5% สอดคล้องกับรายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าที่เพิ่มขึ้น 15.3%

ความสำเร็จของโครงการนี้สนับสนุน เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น สู่แลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ที่สามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้ตลอดทั้งวัน และได้รับรางวัล “Mall of the Year –Thailand” จากเวที Retail Asia Awards 2025 สะท้อนศักยภาพของเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ในการเป็นจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์ระดับโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ของ AWC ในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานมีรายได้โต 14.8% และรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 7.9%จากการปรับโฉมและพัฒนาอาคารคุณภาพ โดยเฉพาะอาคารเอ็มไพร์ ด้วยกลยุทธ์ “The Empire Reimagined” ผสานการทำงาน สุขภาพ อาหาร ศิลปะ และบริการต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน
ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการในไตรมาส 3 สร้างรายได้จากทรัพย์สินที่เปิดดำเนินงานปกติ 2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากการรับรู้รายได้ของทรัพย์สินใหม่ เช่น โรงแรมมีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย ,โรงแรม จุบีลี เพรสทีจน์ รัชดาภิเษก และการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา และรายได้ของโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ทระดับลักชัวรี และโรงแรมอื่นๆ นอกกรุงเทพฯ ที่มีการเติบโต 1.7%) และ 3.9% ตามลำดับ
โดย
โดยเฉพาะโรงแรมในเกาะสมุย ที่มีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตถึง 7.1% (YoY) จากรายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) ที่เพิ่มขึ้น เจาะกลุ่มลูกค้าคุณภาพสูง เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และโอเชียเนีย ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรก บริษัทมีการเติบโตของรายได้ค่าห้องพักจากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มนี้ 14% สูงกว่าการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มนี้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยที่ 11%
“พอร์ตโรงแรมของ AWC ยังคงแข็งแกร่งกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม สะท้อนผ่านดัชนีการสร้างรายได้ (Revenue Generation Index: RGI) โดยเฉพาะโรงแรมที่เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย เช่น โรงแรมในหัวหิน มีค่า RGI อยู่ที่ 143 โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ มีค่า RGI อยู่ที่ 121 และโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต มีค่า RGI ที่ 118 นอกจากนี้กลุ่มโรงแรมไลฟ์สไตล์ในเครือ อาทิ “เอ-ญ่า รูฟท็อป แอท ดิ เอ็มไพร์” ที่อาคารเอ็มไพร์ และการเปิดร้านอาหาร Fossil and Flame ณ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ในไตรมาสนี้ ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง 10.9%”
สำหรับโรงแรมที่เปิดดำเนินงานใหม่ในปีนี้ มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยโรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย สามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานเป็นบวกได้อย่างรวดเร็วภายใน 2 ไตรมาส นับจากเปิดดำเนินงาน ในขณะที่โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าคุณภาพได้ต่อเนื่อง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate : ADR) ในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 5,100 บาทต่อคืน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่งขันในตลาด (Compset) พัทยาที่ 3,300 บาทต่อคืน





