ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กวาดยอดขายไตรมาส 1/2568 กว่า 8,027 ล้านบาท ไตรมาส 2/2568 จ่อโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มอีก 2 โครงการ ตุน Backlog แล้วกว่า 1,700 ล้านบาท หนุน Backlog 45,389 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 5 ปี

พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทได้เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ “Resilience Leads To Sustainable Growth” สร้างความยืดหยุ่นในการบริหารองค์กร พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง สู่การเป็นผู้นำและการเติบโตอย่างยั่งยืนบนโอกาสใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลในระยะยาวอย่างมีเสถียรภาพทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยในไตรมาส 1/2568 บริษัทสามารถทำยอดขายได้กว่า 8,027 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 85% และโครงการบ้านจัดสรร 15% มาจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ประมาณ 56% กลุ่มโครงการที่เปิดขายใหม่และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างรวมกันประมาณ 44% โดยมีโครงการเปิดใหม่ 1 โครงการ คือ SO ORIGIN SUKHUMVIT 105 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 913 ยูนิต มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติทั้งในรอบ VVIP และ Online Booking

นอกจากนี้บริษัทยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่จากงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 47 ระหว่างวันที่ 20 – 23 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,200 ล้านบาท สะท้อนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ออริจิ้น ขณะเดียวกันก็ได้รับแรงสนับสนุนจากประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ในการผ่อนปรนมาตรการเกณฑ์ LTV (Loan to value ratio ) ที่กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทั้งกรณีบ้านราคาต่ำ 10 ล้านบาท สัญญาที่ 2 และบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป สัญญาที่ 1 สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569

ทั้งนี้ยอดขายดังกล่าวช่วยหนุนยอด Backlog 45,389 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 5 ปี โดยในไตรมาส 2นี้ มีโครงการที่จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ และ โครงการเดอะ แฮมป์ตัน สวีท ระยอง ที่มี Backlog แล้วกว่า 1,785 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันมีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง แล อีก 3 แห่งจะเปิดใหม่ในปี 2568 นี้ โดย 2 แห่งเป็นการ Re-opening โรงแรมที่ acquire มาเมื่อปี 2566 ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ตและเชียงใหม่ และอีก 1 แห่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ
ส่วนธุรกิจคลังสินค้า (Warehouse) ปัจจุบันมี 9 แห่งอยู่ในทำเลรังสิต, บางนา กม.22, บางนา กม.19, บางนา กม.23, แหลมฉบัง, พานทอง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมพื้นที่กว่า 400,000 ตารางเมตร มีอัตราการเช่าสูงถึง 97.6% ตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 1 ล้านตารางเมตรในอีก 5 ปี ข้างหน้า
สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาคาดว่าจะส่งผลกระทบระยะสั้นต่อธุรกิจอสังหาฯ เนื่องจากความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุแผ่นดินไหวเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย และความเสียหายที่เกิดขึ้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมากทั้งในส่วนของความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เนื่องจากตามกฎหมายควบคุมอาคารของกรุงเทพมหานคร ได้มีการออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการเสริมโครงสร้างเพื่อรับแรงแผ่นดินไหวมาตั้งแต่ปี 2550 ทำให้อาคารสูงต่างๆสามารถขยับตัวในช่วงการเกิดแผ่นดินไหวได้อย่างปลอดภัย
ทำให้บริษัทมองว่า หลังจากผู้บริโภคได้คลายความวิตกกังวลและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารสูงในการรับผลกระทบแผ่นดินไหวที่ถูกต้องแล้ว คาดว่าผู้บริโภคจะกลับมามีความมั่นใจในการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดในไม่ช้า ส่วนบ้านจัดสรรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ จะส่งผลให้มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น


