เอสซีจีแจงตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2 ยอดขายโตต่อเนื่อง มีรายได้จากการขาย 152,534 ล้านบาท  รวม 6 เดือนกวาดรายได้จากการขาย 305,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีกำไรเท่ากับ 18,781 ล้านบาท ลดลง 41% เหตุต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ชู 5 กลยุทธ์รับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยถึงผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2565 ว่า  บริษัทมีรายได้จากการขาย 305,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 มีรายได้จากการขาย 152,534 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด

ส่วนผลกำไรในช่วงครึ่งปีแรกเท่ากับ 18,781 ล้านบาท ลดลง 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้กำลังการผลิตในตลาดโลกลดลง

ทั้งนี้จากตัวเลขรายได้จากการขาย 305,028 ล้านบาท แบ่งออกเป็นรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) จำนวน 104,332 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของรายได้จากการขายรวม โดยรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution เช่น ปูนงานโครงสร้างเอสซีจี สูตรไฮบริด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กระเบื้องยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย คิดเป็น 17% และ 5% ของรายได้จากการขายรวม ตามลำดับ

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงการส่งออกจากประเทศไทย โดยทำรายได้รวมทั้งสิ้น 135,822 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของยอดขายรวม

ขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีรายได้จากการขาย 135,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 103,771 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%  เนื่องจากกลยุทธ์การขายสินค้า ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและภูมิภาค

“แม้สถานการณ์ทั่วโลกยังมีความผันผวน เป็นภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย ต้นทุนพลังงาน-วัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) แต่เอสซีจีได้เร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจและสถานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง พร้อมกับได้เร่งพัฒนานวัตกรรม สินค้าและบริการ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้ฉลาก SCG Green Choice รวมทั้งนวัตกรรมใหม่ ๆเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้า ทั้งด้านความปลอดภัยและสะดวกสบาย”

ขณะเดียวกันได้มีการชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน เพื่อมุ่งโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนเร็ว และเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาว ทั้งโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP ที่เวียดนาม และการลงทุนของ SCGP ในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ในเพอเธ่ (Peute) ผู้ดำเนินธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์

ทั้งนี้เพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง เอสซีจีได้เร่งดำเนินการภายใต้ 5 กลยุทธ์ ประกอบด้วย การลดต้นทุน เพิ่มพลังงานทางเลือก ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ลดของเสียจากการดำเนินงาน และเร่งเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก อาทิ เชื้อเพลิงชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกประมาณ16.4%

DCIM100MEDIADJI_0068.JPG

การพัฒนานวัตกรรม สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มต่อเนื่อง รวมถึงการหาตลาดใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่าง เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน  อาทิ พลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น สำหรับบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกของสินค้าที่ต้องการเน้นกลิ่นหอมโดยเฉพาะ นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ดี เช่น  SCG HVAC Air Scrubber ระบบบำบัดอากาศเสีย พร้อมลดภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศสำหรับอาคารขนาดใหญ่ ช่วยประหยัดค่าไฟได้ 20-30%

การเพิ่มสภาพคล่องการเงิน ด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับเหมาะสม บริหารปริมาณสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงเสริมสภาพคล่องโดยการออกหุ้นกู้ในรูปแบบหุ้นกู้ดิจิทัลของ SCGP ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้

นอกจากนี้ยังได้คุมเข้มการลงทุน ทบทวนการลงทุน ชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน หรือใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะได้ผลตอบแทน มุ่งพัฒนาโครงการที่ได้ผลตอบแทนเร็ว อาทิ  โครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนาม ล่าสุดมีความคืบหน้าตามแผน 96% พร้อมจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ส่วน SCGP ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ (Packaging Materials Recycling Business) ใน Peute Recycling B.V. ผู้ดำเนินธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ และลงทุนใน Imprint Energy Inc. สหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแบตเตอรี่ที่ผลิตด้วยการพิมพ์

และเดินหน้า ESG ด้วยแนวทาง ESG 4 Plus โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มียอดขายนวัตกรรมรักษ์โลกภายใต้ฉลาก SCG Green Choice จำนวน 153,240 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของยอดขายรวม

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*