ซีคอนฯเผยเทรนด์ตลาดปี 65 ลูกค้าต้องการบ้านใหญ่ขึ้น พบบ้านระดับราคา 7 ล้านบาทขึ้นไป ขยายตัวมากขึ้นกว่า 85%  พร้อมเปิดเกมรุกตลาดปีเสือ เดินเครื่องการตลาดดิจิทัล และนวัตกรรมด้านบริการ SECON ID  เจาะดีมานด์ กลุ่มกำลังซื้อมาแรง บ้านราคา 15 – 20 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งเป้ายอดขาย 2,400 ล้านบาท
นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ
นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยถึงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาว่า แม้หลายภาคธุรกิจเกิดการชะลอตัว แต่ซีคอนฯ ยังสามารถเติบโตสวนทางกับพิษเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่ทุกภาคธุรกิจได้รับผลกระทบในช่วงล็อกดาวน์  โดยในไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา ซีคอนฯได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเกินความคาดหมาย ซึ่งผลประกอบการปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้เติบโต 14% และหากนำ SEACON ID  มารวมด้วยนับเป็นยอดขายที่สูงกว่าเป้าเกินกว่า 26% ซึ่งทำให้ผลประกอบการรวมอยู่ที่ประมาณ 1,880 ล้านบาท  โดยแบ่งสัดส่วนตามขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้าน ดังนี้

บ้านขนาดใหญ่        พื้นที่ใช้สอย 351 ตารางเมตร ขึ้นไป สัดส่วน 55%

-บ้านขนาดกลาง       พื้นที่ใช้สอย 200-350 ตารางเมตร ขึ้นไป สัดส่วน 32%

-บ้านขนาดเล็ก         พื้นที่ใช้สอยน้อยกว่า 200 ตารางเมตร สัดส่วน 13%

สำหรับเทรนด์ตลาดรับสร้างบ้านปี 2565 พบว่าลูกค้ามีความต้องการบ้านขนาดใหญ่ขึ้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจก็จะอยากได้บ้านที่บอกกล่าวเรื่องราวของตนเอง ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดของซีคอนฯ ในปี 2565 ซีคอน เน้นการทำตลาด และสร้างแบรนด์ผ่านช่องทางดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง มากขึ้น เนื่องจากเป็นช่องทางที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและมียอดขายเติบโตขึ้นมากกว่า 40%  โดยยังคงทำควบคู่ไปกับช่องทางออฟไลน์ คือ การออกงาน Exhibition, Roadshow เหมือนเช่นเคย รวมถึงการให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยยับยั้ง และป้องกันโควิด-19 และนวัตกรรมรักษ์โลก เช่น  บ้านเย็นอยู่สบายปลอดภัยจากมลพิษและเชื้อโรค ช่วยระบายความร้อน และลดความชื้นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ระบายอากาศเสียภายในบ้านออกนอกบ้าน และเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ตัวบ้าน กรองฝุ่น PM 2.5 อีกทั้งเป็นการเพิ่มออกซิเจนในระหว่างนอนหลับ เพื่อพัฒนาการสมองของเด็ก และให้สมองได้พักผ่อนเต็มที่ เพื่อการนอนหลับพักผ่อนที่ดีของสมาชิกทุกคนในบ้าน นั่นคือ ระบบ SEACON Cool & Clean System

ทั้งนี้ซีคอนฯเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายแรก และรายเดียวของประเทศไทยที่มีบ้านตัวอย่างให้ชมก่อนการตัดสินใจ เพื่อสร้างประสบการณ์ตรงในการสัมผัสบ้านจริง วัสดุจริง สไตล์การตกแต่งบ้านจริง และอื่น ๆ เพื่อตอกย้ำความมั่นใจ และส่งผลเชิงบวกให้กับลูกค้าก่อนการตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น

นายมนู กล่าวต่อไปว่า เชื่อมั่นว่าในปี 2565 จะสามารถผลักดันยอดขายโดยรวมให้ไปแตะที่ 2,400 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่า กลุ่มตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาจาก บ้านขนาดใหญ่ ระดับราคา 7 ล้านบาทขึ้นไป พบว่ามีการขยายตัวมากขึ้นกว่า 85% ส่วนกลุ่มบ้านราคา 15-20 ล้านบาทขึ้นไป ขยายตัวมากขึ้นเช่นกัน

“หัวใจหลักของซีคอนฯในการทำการตลาดยังคงยึดเรื่องความน่าเชื่อถือของแบรนด์ การไม่ทิ้งงาน และสร้างมาตรฐานงานก่อสร้างที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งระบบการทำงานแบบครบวงจร และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าอยู่เสมอ โดยเทรนด์ของตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้ มีลูกค้า 2 กลุ่มหลักที่มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ บ้านหลังใหญ่สไตล์ ยุโรป และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบบ้านสไตล์โมเดิร์น และมินิมอล ซีคอนจึงได้ออกแบบชุดใหม่ Horizon Series ที่มีความล้ำเรื่อง Space ภายในซึ่งเน้นความกว้างขวาง แต่มีรายละเอียดที่โฉบเฉี่ยวกว่าแบบบ้านปกติ โดยมาพร้อมกับ Function พื้นฐานที่ครบถ้วน” นายมนู กล่าว

นอกจากนี้ซีคอนฯจะร่วมกับพันธมิตรในการสร้างบริการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมามีการทำโปรเจกต์ SEACON Privileges ให้กับลูกค้าสมาชิกของซีคอน ได้รับสิทธิพิเศษและสิทธิประโยชน์จากความร่วมมือกับพันธมิตร และร้านค้าต่าง ๆ ปีนี้จะเน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษมากขึ้น โดยกิจกรรมแรกในปีนี้จะเริ่มในช่วงปลายเดือนมีนาคมต่อเนื่องถึงต้นเดือนเมษายน 2565

นายสุรเชษฐ์ สายนุช

ด้าน นายสุรเชษฐ์ สายนุช ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า ราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงปรับขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะมีการปรับขึ้น 5-10% ซึ่งหากมีความจำเป็นก็คงต้องปรับราคาบ้านขึ้นมาบ้าง แต่จะพยายามให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

“บริษัท SEACON ID เป็นบริษัทในเครือของซีคอนที่ให้บริการแนวใหม่ โดยลูกค้าสามารถนำแบบบ้านที่มีอยู่แล้วมาให้เราสร้างให้ได้เลย หรือ ถ้ามีแบบในใจแต่ไม่รู้จะไปอธิบายให้ใครฟัง ทีมงานออกแบบของเรามีประสบการณ์ในการออกแบบและสร้างให้พร้อมกันในหนึ่งเดียวด้วยระบบซีคอนที่ครบวงจรและมั่นใจได้ ในปี 2564 ที่ผ่านมา SECON ID ทำยอดขายได้มูลค่า 180 ล้านบาท  โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป ในปีนี้เราตั้งเป้าที่ 500 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น” นายสุรเชษฐ์ กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*