เอพีฯเปิดแผนปีเสือ ประกาศผุด 65 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 78,000 ล้านบาท มากสุดในประวัติศาสตร์และทั้งอุตสาหกรรม ตั้งเป้าทั้งปี ปูพรมรวม 182 โครงการทั่วไทย มูลค่าพร้อมขายกว่า 149,000 ล้านบาท เล็งแชร์เค้กแนวราบพื้นที่ใหม่โซนปริมณฑล ทั้งเขย่าตลาดทาวน์โฮมในทุกเซกเมนต์ ด้วย 20 แบบบ้านใหม่ จาก 6 แบรนด์ทาวน์โฮม คาดกวาดยอดขายปี 65 แตะ 50,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 47,000 ล้านบาท 
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) หรือ AP เปิดเผยว่า ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับภาวะซบเซา และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคในหลายๆ เซกเตอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเราพบว่าความต้องการซื้อและเช่าในตลาดอสังหาฯ ยังมีอยู่ เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามสถานการณ์ หากเทียบกับสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ซึ่งในปีนั้นเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญภาวะตกต่ำ แต่อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมกลับขายดีมาก ซึ่งวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ก็คล้ายเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในด้านที่อสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ถูกทำลายลงไป เพียงแต่ทรานฟอร์มไปตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปตามสภาวะเวลา

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังถือเป็นหนึ่งคีย์สำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ จากข้อมูลศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ ระบุว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าตลาดคิดเป็นสัดส่วน 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบจำนวนมาก เกิดการจ้างงานและรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมไปกับการสนับสนุนให้กับอุตสาหกรรมอื่น อาทิ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจสถาบันการเงิน ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งได้เติบโตไปพร้อมกัน และหากย้อนกลับดูผลประกอบการของ 5 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย ยังพบการเติบโตของตัวเลขในอัตราที่เป็นบวก ซึ่งในส่วนของเอพี ไทยแลนด์ฯคาดว่าในปี 2564 บริษัทฯ จะมียอดโอนอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดในตลาดประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย” ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่นำพาให้อุตสาหกรรมนี้สามารถขับเคลื่อนผ่านวิกฤติในทุกยุคสมัยมาได้อย่างสวยงาม

สำหรับความต้องการในการซื้ออสังหาฯปี 2565 นั้นมองว่ายังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนแบ่งตลาดยังไม่ใหญ่เท่าที่ผ่านมา ดังนั้นต้องเพิ่มขีดในการแข่งขันที่สูงมากขึ้น ซึ่งในส่วนของเอพีฯได้ดำเนินการภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก คือ

1.การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า โดยในปีที่ผ่านมาเอพีมีโครงการมากกว่า 117 โครงการ กระจายขายทั่วประเทศไทย และสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 35,050 ล้านบาท โดยสินค้าแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมยังคงเป็นแรงสำคัญในการสร้างการเติบโต นอกจากนั้น ยังสามารถปิดการขายโครงการแนวราบได้จำนวนมาก

2. Cash Flow Management การบริหารจัดการกระแสเงินสด ตลอดระยะเวลาของการเผชิญวิกฤตการณ์โรคระบาด บริษัทฯ คงรักษาเสถียรภาพทางการเงินได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.58 เท่า

3. Digital Competency การสร้างความได้เปรียบด้วย Digital ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโรดแมปสำคัญที่เอพีฯใช้เป็นคีย์ในการเคลื่อนธุรกิจท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องในทุกๆ Touchpoint ของการดำเนินธุรกิจ ทั้งกับลูกค้า คู่ค้า พนักงาน

“เรามีมีความพร้อมทั้งด้าน Portfolio ที่เปิดตัวเมื่อปี 2564 จำนวน  19 โครงการ รวมมูลค่า 22,540 ล้านบาท  และปีนี้คาดว่าจะมีการโอนมากถึง 40,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็มีความแข็งแกร่งด้านการเงิน มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเพียง 0.58 ถือว่ายังมีความพร้อมในการบุกตลาดหากมีโอกาสที่ดี และด้านดิจิทัล ซึ่งมีการลงทุนปีละประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสร้างความแตกต่าง รวมไปถึงการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องด้วย สำหรับความท้าทายในปีนี้ ในภาคแมคโครนั้นแม้วิกฤติโควิด-19 อาจเริ่มคลี่คคลาย แต่ก็ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง รวมถึงเงินเฟ้อ ค่าแรง อัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ยากต่อการควบคุม ดังนั้นบริษัทฯต้องควบคุมเรื่องความแข็งแกร่งของบุคลากรและการเงิน  รวมไปถึงสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับด้วย”นายวิทการ กล่าว

นายวิทการ กล่าวถึงแผนการดำเนินการในปี 2565 ว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม รวมทั้งสิ้น 65 โครงการ มูลค่ากว่า 78,000 ล้านบาท ถือเป็นจำนวนโครงการใหม่ที่มากที่สุดตั้งแต่เคยดำเนินธุรกิจมา แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยวจำนวน 26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท  โดยเป็นโครงการร่วมทุน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ในทำเลย่านพระราม 4 ,อ่อนนุช ,ลาดพร้าว และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท  ได้แก่ ฉะเชิงเทรา อุบลราชธานี และอุดรธานี ส่วนอีก 2 จังหวัด อยู่ระหว่างการจัดการที่ดินคือที่ พระนครศรีอยุธยา และ ระยอง โดยแบ่งเป็นการเปิดตัวในครึ่งปีแรก จำนวน 30 โครงการ มูลค่า 34,990 ล้านบาท และครึ่งปีหลัง จำนวน 35 โครงการ มูลค่า 43,010 ล้านบาท

ปี 2565 เป็นที่สุดแห่งปี กับการพุ่งทะยานไปต่อ BREAKTHROUGH ทุกข้อจำกัดสร้างความต่างที่เหนือกว่าให้กับวิถีชีวิตใหม่ ด้วยการต่อยอดความสำเร็จจากสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยว พร้อมเตรียมเปิด Big Surprise ใหม่ล่าสุดให้กับสินค้ากลุ่มทาวน์โฮม และเตรียม Boost Up ตลาดคอนโดมิเนียมให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ควบคู่นวัตกรรมดีไซน์ที่นำมาสู่การเติบโตที่ยั่งยืนบนความท้าทายของโลกใหม่ รวมถึงในปีนี้เอพีฯยังมีแผนขยายสินค้าแนวราบจำนวนมากไปยังทำเลเขตปริมณฑล อย่างสมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี และปทุมธานี เพื่อตอบกลุ่มเป้าหมายที่กว้างมากขึ้นอีกด้วย  ส่งผลให้ทั้งปีเอพีฯจะมีโครงการพร้อมขายทั้งกทม.และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 182 โครงการ มูลค่ากว่า 149,000 ล้านบาท

“การเปิดตัวโครงการใหม่ในปริมาณที่มากขนาดนี้ ถ้าระบบหลังบ้านไม่พร้อมก็ยากที่จะเป็นจริงได้ ซึ่งตลอด 2 ปีของการเผชิญวิกฤติได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของทีมเอพี ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดโครงสร้างองค์กรภายในให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยคีย์สำคัญคือ การให้อำนาจการตัดสินใจแก่คนที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ และปีนี้เราพร้อมก้าวข้อจำกัดไปอีกขั้น ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า ซึ่งนอกจากจะเป็นการเปิดใหม่เพิ่มทดแทนโครงการเก่าที่ปิดการขายไปจำนวนมากนั้น ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบที่มากขึ้น ด้วยการขยายสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆ อีกด้วย”  นายวิทการกล่าว

โดยไฮไลต์ที่น่าสนใจในปีนี้ คือการพลิกวิธีคิดในการพัฒนาทาวน์โฮมในเมืองเครือเอพีฯใหม่ทั้งหมด เพื่อครองภาพการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม ภายใต้แนวคิด “Unlock ชีวิตคนเมืองกับทาวน์โฮมเอพี  พื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่เลือกได้” ด้วยเป้าหมายการเติบโตที่มากขึ้นกว่า 30% โดย Big Surprise ที่จะมาเขย่าตลาดทาวน์โฮมในทุกเซกเมนต์ ประกอบด้วย

1.การเปิดตัว 20 แบบบ้านใหม่ จาก 6 แบรนด์ทาวน์โฮมคุณภาพ ที่พลิกโฉมใหม่หมด ทั้งมิติงานสถาปัตยกรรมและสเปซภายใน เพื่อเดินหน้าปลดล็อกประสบการณ์ของการอยู่อาศัยในทาวน์โฮมแบบเดิมๆ

2.เตรียมกินแชร์ตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นเพิ่มขึ้น ชูจุดขายด้วยบ้านหน้ากว้างสูงสุด 11 เมตร แบรนด์บ้านกลางเมือง The Edition และแกรนด์ พลีโน่

3. บุกตลาดทาวน์โฮม 2 ชั้นในเขตปริมณฑล ด้วยแบรนด์น้องใหม่ PLENO TOWN เริ่ม 1.89 ล้านบาท

ในส่วนธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัทฯยังเดินหน้าตามแผนครองความเป็นผู้นำในธุรกิจบ้านเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ณ ปัจจุบันบ้านเดี่ยวเครือเอพีฯครองความแข็งแกร่งและเติบโตในทุกเซกเมนต์ ด้วยส่วนแบ่งตลาด (Market Share) มากสุดเป็นอันดับ 1 จำนวนยูนิตที่ขายได้มากสุดในตลาดบ้านเดี่ยวในเมืองและปริมณฑล (รอบปี 2558 – ครึ่งแรกปี 2564)  ผ่าน 3 แบรนด์คุณภาพ ได้แก่ THE PALAZZO คฤหาสน์หรูในเซกเมนต์ซูเปอร์ลักชัวรี่ THE CITY บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่เซกเมนต์ไฮเอนด์ และ CENTRO บ้านเดี่ยวดีไซน์โมเดิร์นสำหรับการเริ่มต้นครอบครัวเซกเมนต์กลางบน และในปีนี้เอพีฯจะต่อยอดความชำนาญด้วยการบุกไปยังตลาดใหม่ในพื้นที่เขตปริมณฑล อย่างสมุทรสาคร และสมุทรปราการ ด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ภายใต้ชื่อแบรนด์ใหม่ เพื่อมุ่งเจาะกลุ่ม Gen M และ Gen Z กับแบบบ้านดีไซน์ใหม่  

นอกจากนี้บริษัทฯยังพร้อมเตรียมปลุกกระแสความปัง ทวงคืนภาพผู้นำคอนโดมิเนียมในเมือง ด้วยแผนเดินหน้าเปิดตัว 5 คอนโดมิเนียมใหม่ มูลค่า 13,000 ล้านบาท ชู ASPIRE เป็น Fighting Brand หลักบุกลุยตลาดแมส ด้วยจุดยืน LIVE AS YOU ASPIRE อิสระในทุกมิติของชีวิตกับ 3 จุดขาย Modular Layout พื้นที่ชีวิตที่พร้อมปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ The Best of ‘ME’ Space พื้นที่ส่วนกลางที่ตอบทุกตัวตน Entry-Level Price  ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเริ่มต้น 84,000 บาท/ตารางเมตร ใน 4 ทำเล

1. Aspire ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ ซึ่งพร้อมเปิดพรีเซลในวันที่ 19-20 มีนาคมนี้

2. Aspire รัชโยธิน

3. Aspire สุขุมวิท-พระราม 4

4.Aspire อ่อนนุช สเตชั่น

5.LIFE พหล-ลาดพร้าว

นอกจากนั้นในปีนี้ยังเตรียมอวดโฉม  3  คอนโดฯพร้อมอยู่ ที่ตอบทุกเซกเมนต์ ได้แก่ 1. RHYTHM  เอกมัย เอสเตท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 30% จะส่งมอบในไตรมาส 3/2565   2.LIFE สาทร เชียร์ร่า มูลค่าโครงการ 6,300 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% จะส่งมอบในไตรมาส 2/2565  3.ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม  มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 34% จะส่งมอบในไตรมาส 2/2565

“ตลาดคอนโดฯถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ยังคงต้องดูในปีหน้าว่าจะกลับมาเติบโตมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่าปี 2565 เราจะเริ่มเห็นบางเซกเมนต์ที่ดีขึ้น อย่างเซกเมนต์กลางถึงกลางล่าง และถ้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ปกติ การจราจรกลับมาติดขัดเหมือนเดิม น่าเป็นโอกาสที่ดีที่มีต่อตลาดคอนโดฯ แน่นอนว่า บทเรียนที่เราเรียนรู้มาตลอด 2 ปีของการแพร่ระบาด วิธีการทุกอย่างที่เราเคยทำและเรียนรู้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วทั้งสิ้น เรายังคงต้องเผชิญอยู่กับความท้าทายใหม่ๆ โรคระบาดยังคงอยู่กับเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ คาดว่าครึ่งปีแรกของปี 2565 น่าจะยังคงไม่ต่างจากปีนี้ แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังปี 2565 ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่หวัง โลกรับมือกับโอมิครอนได้ดีขึ้น ยารักษาผลิตออกมาใช้งานได้จริง ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ” นายวิทการ กล่าว

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯวางเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์รวม (รวมโครงการร่วมทุน) ไว้ที่ระดับ 47,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ทำได้ระดับ 40,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 38,380 ล้านบาท จะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันได้วางเป้าหมายยอดขาย (Presale) ไว้ที่ 50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 35,050 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายแนวราบ 76% และยอดขายคอนโดมิเนียม 24% โดยในช่วง 27 วันแรกของปี (1-27 มกราคม 2565) บริษัทมียอดขายแล้วที่ 4,500 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการแนวราบประมาณ 3,700 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม 800 ล้านบาท

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*