ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ฯเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจ เน้นทยอยนำที่ดินสะสมในกทม.-หัวเมืองท่องเที่ยวริมทะเล พัฒนาโครงการรูปแบบบูทีคและเฉพาะกลุ่ม ปี 66 เตรียมนำแลนด์แบงก์ครอบครัวซ.สุขุมวิท 31 ผุดทาวน์โฮม 4 ชั้น ราคา 60-70 ล้านบาท เจาะตลาดพรีเมียมลักชัวรี่ ส่วน “ฟินน์ อโศก” ยอดขายพุ่งแล้ว 80% คาดปิดขายได้ในปีนี้ ด้านซีบีอาร์อีฯระบุจับตา 2 เทรนด์ใหม่ปีกระต่ายทอง คอนโดฯที่ชะลอตัวจะทยอยกลับมา และกลุ่มลูกค้าต่างชาติหน้าใหม่สนใจซื้ออสังหาฯไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมียนมาร์-ซาอุฯแห่ช้อปที่อยู่อาศัยราคา 40-50 ล้านบาท
นายพงศธร จอม สาลักษณ์
นายพงศธร จอม สาลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯว่า จะเน้นการนำที่ดินสะสมที่มีอยู่ทั้งในกทม.และต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว ที่เป็นที่ดินติดชายทะเล มาพัฒนาโครงการก่อน โดยเป็นที่ดินในกทม.จำนวน 3 แปลง คือ สุขุมวิท 31 ซึ่งเป็นที่ดินเก่าของครอบครัว พื้นที่ประมาณ 300 ตารางเมตร ,ที่ดินย่านรัชดาภิเษก ใกล้โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพฯ พื้นที่ประมาณ 1 ไร่เศษ และย่านราชดำริ ซึ่งเป็นที่ดิน Freehold พื้นที่ประมาณ 200-300 ตารางวา

ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดยังเหลือที่ดินบริเวณด้านหลังเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ประมาณ 45 ไร่ ,ที่ดินบริเวณเขาหลัก จ.พังงา ซึ่งมีแผนจะพัฒนาเป็นวิลล่าริมชายหาดประมาณ 79 หลัง และที่ดินฝั่งตะวันออกของภูเก็ตอีก 1 แปลง อนาคตมีแผนที่จะพัฒนาในรูปแบบของบ้านระดับไฮเอนด์ ประมาณ 6-7 หลัง ราคาประมาณ 50-150 ล้านบาท

ซึ่งแนวทางการพัฒนาจะเน้นสิ่งที่เป็น DNA ของบริษัทฯก่อน คือ เน้นความเป็นบูทีค เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเกลุ่ม และพัฒนาเอง 100% โดยหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายจะเน้นการพัฒนาในพื้นที่กทม.ก่อน ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดคงชะลอไว้ก่อน เพราะรอให้นักท่องเที่ยวกลับมาเต็มที่เสียก่อน อีกทั้งต้องศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังวิกฤติโควิด-19 ให้ชัดเจน ว่ามีความต้องการที่อยู่อาศัยในรูปแบบใด เพื่อที่จะได้สามารถพัฒนาออกมาตอบโจทย์ได้ถูกต้อง

สำหรับแผนการดำเนินการในปี 2566 นี้ จะนำที่ดินของครอบครัวบริเวณซอยสุขุมวิท 31 ประมาณ 300 ตารางวา ที่ชะลอแผนไปตั้งแต่ปี 2560 มาพัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม 4 ชั้น ขนาด 45-50 ตารางวา ราคาประมาณ 60-70 ล้านบาท  จำนวนประมาณ 5 ยูนิต เจาะตลาดพรีเมียมลักชัวรี่ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “ฟินน์ อโศก” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น 2 อาคาร โดยอาคาร A มีจำนวน 144 ยูนิต และอาคาร B จำนวน 119 ยูนิต รวม 263 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 24-120 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 4.99-22 ล้านบาท หรือ 190,000-200,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป มูลค่า 2,100 ล้านบาท โดยได้เปิดการขายเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา บริหารงานโดยบริษัท ซีบีอาร์อี(ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 80% โดยสัดส่วนประมาณ 65% เป็นลูกค้าคนไทย และอีก 35% เป็นลูกค้าต่างชาติ ซึ่งอันดับ 1 เป็นลูกค้าชาวจีน รองลงมาเป็นชาวฮ่องกง สิงคโปร์ และยุโรป รวมไปถึงชาวเอเชียชาติอื่นๆด้วย เป็นต้น  ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ในปี 2566 นี้

นายชาญวิชญ์ พสุวัต
นายชาญวิชญ์ พสุวัต หัวหน้าแผนกพัฒนาการออกแบบโครงการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ตลาดที่พักอาศัยถือว่ามีการเคลื่อนไหวและปรับตัวได้ดี โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการมากขึ้น จึงทำให้มีซัพพลายใหม่เติมเข้ามาในตลาดจำนวนไม่มาก ทั้งนี้ผู้ประกอบการต่างมุ่งเน้นขายโครงการที่กำลังก่อสร้าง หรือแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ จึงทำให้อัตราส่วนยอดขายโดยเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จในทำเลใจกลางเมืองมีอัตราสูงถึง 93% โดยทำเลที่มีจำนวนยูนิตขายได้สูงที่สูดคือทำเลสุขุมวิท ทั้งนี้ในด้านภาพรวมเศรษฐกิจ จะเห็นการปรับตัวไปในทิศทางที่บวก ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDPX ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) ก็มีการปรับตัวดีขึ้นมีสัญญาณบวกอย่างต่อเนื่องตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งจากดัชนีชี้วัดดังกล่าวถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดโดยรวม

ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลที่ดีต่อโครงการ “ฟินน์ อโศก” ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแล้วเสร็จ พร้อมเข้าอยู่ อีกทั้งตัวโครงการตั้งอยู่บนหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ อย่างอโศก-สุขุมวิท ซึ่งรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม อาคารสำนักงานเกรดเอ ที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก (retail) และที่สำคัญอยู่ใกล้กับสวนเบญจกิติเพียง 200 เมตร แนวโน้มเชิงบวกในตลาดที่สำคัญอีกประการคือ สัญญาณการกลับมาของลูกค้าต่างชาติ โดยตัวเลขยอดขายลูกค้าต่างชาติ (foreigner purchaser) และจำนวนลูกค้าต่างชาติที่สอบถามเข้ามา (foreigner inquiry)ของซีบีอาร์อีที่ผ่านมา  มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทียบกับปีที่ตัวเลขต่ำที่สุดในปี 2563 ตัวเลขยอดขายลูกค้าต่างชาติ คิดเป็น 7.9% และในปี 2565 สูงขึ้นเป็น 16.4%, จำนวนลูกค้าต่างชาติที่สอบถามเข้ามาในปี 2563 คิดเป็น 6% และสูงขึ้นเป็น 10.7% ในปี 2565 จากตัวเลขดังกล่าว และการเปิดการเดินทางระหว่างประเทศ โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งซีบีอาร์อีฯ คาดว่าปี 2566 นี้จะมีตัวเลขลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวดีขึ้น

“ในปี 2566 จะมีเทรนด์ใหม่ใน 2 เรื่องคือ จะมีโครงการคอนโดฯที่ชะลอการเปิดตัวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลับมาเปิดตัวในปี 2566 มากขึ้น และจะมีกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติหน้าใหม่มากขึ้น อาทิ เมียนมา ซาอุดีอาระเบีย ที่สนใจที่อยู่อาศัยย่านใจกลางเมือง ระดับราคา 40-50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีชาวเกาหลี,สหราชอาณาจักร,เยอรมนี,กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และกลุ่มประเทศในแถบเอเชีย เป็นต้น โดยสนใจซื้ออสังหาฯในราคาที่หลากหลาย ขณะที่ระดับราคา 4-6 ล้านบาท ชาวจีนก็ยังให้ความสนใจซื้ออย่างต่อเนื่อง”นายชาญวิชญ์ กล่าวในที่สุด

อนึ่ง นายพงศธร จอม สาลักษณ์ เป็นทายาท นายดุสิต สาลักษณ์ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกลือบริสุทธิ์ ภายใต้แบรนด์ “เกลือปรุงทิพย์” และมารดาคือนางดาราวัลย์ สาลักษณ์(ศรีเฟื่องฟุ้ง)ที่ครอบครัวฝ่ายมารดาดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ ภายใต้บริษัท ไทยฮาซาฮีเคมีภัณฑ์ จำกัด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*