แมกโนเลียฯประกาศพันธกิจครั้งสำคัญ มุ่งสู่เป้าหมาย สร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบในปี 2050” ถือเป็นการเดินหน้าครั้งสำคัญเพิ่มเติมจากพันธกิจเดิมที่มุ่งพัฒนาโครงการและนวัตกรรมเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ทุกสรรพสิ่ง มาสู่การเป็นกำลังสำคัญในการช่วยโลกแก้ไขวิกฤติภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ในฐานะที่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่พัฒนาโครงการโดยให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกชีวิต หรือ “For All Well-Being”ซึ่งไม่ใช่เพียงลูกบ้าน แต่รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวมมาตลอด 30 ปีของการดำเนินธุรกิจ ทางบริษัทตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของทุกสรรพสิ่งอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย รวมถึงปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) ดังนั้น ทาง MQDC จึงเดินหน้าเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกู้วิกฤติโลก โดยประกาศพันธกิจใหม่ที่จะอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นค่าติดลบ หรือ Nature Positive & Carbon Negative ภายในปี.. 2593 หรือ .. 2050

จากการที่ MQDC ทุ่มเทให้กับการคิดค้นและวิจัยนวัตกรรมต่าง ก็ล้วนเพื่อให้โครงการของเราบรรลุพันธกิจที่เรายึดมั่นเป็นแกนหลักในการดำเนินงานมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกสรรพสิ่งอย่างยั่งยืน หรือ “For All Well-Being” เราตระหนักว่า ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและปัญหาโลกรวน เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทั้งโลก ดังนั้นจึงเห็นว่าเราสามารถนำนวัตกรรมและสิ่งที่เราคิดค้นทั้งในอดีตและงานวิจัยใหม่ๆ ที่กำลังทำมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขวิกฤติสิ่งแวดล้อมของโลกได้อย่างเป็นรูปธรรมนายวิสิษฐ์ กล่าว

โครงการของ MQDC ทั้งที่สร้างเสร็จแล้วและที่อยู่ระหว่างการพัฒนาได้มีการนำหลากหลายนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Sustainnovation เข้ามาใช้เป็นแกนในการก่อสร้างโครงการโดยโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเป็นต้นแบบของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในการช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างเป็นที่ประจักษ์ คือ โครงการ The Forestias ซึ่งมีพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ในโครงการโดยอาศัยการทำวิจัยอย่างเข้มข้น เพื่อให้โครงการสามารถส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางชีวภาพและระบบนิเวศน์ของพื้นที่เดิมไว้ได้ รวมถึงโครงการ “101 ทรู ดิจิทัล พาร์คที่มีการสนับสนุนกิจกรรมลดการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซต์อย่างต่อเนื่อง และได้รับการรับรองในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ 576.449 ตัน เทียบเท่ากับต้นไม้จำนวน60,678.84 ต้น ภายในระยะเวลา 30 เดือนอีกด้วย

ทั้งนี้ เพื่อให้ไปถึงพันธกิจดังกล่าวได้สำเร็จ ศูนย์วิจัย RISC by MQDC ซึ่งเป็นหนึ่งใน 6 ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมในด้านต่าง ของ MQDC เป็นแกนหลักในการวางแผนกลยุทธ์และคิดค้นนวัตกรรมมาสนับสนุนการดำเนินงาน เพื่อให้พันธกิจดังกล่าวประสบผลสำเร็จ

รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC by MQDC) ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการเดินหน้าพันธกิจ Nature Positive & Carbon Negative 2050 กล่าวว่า พันธกิจครั้งนี้ นับว่าเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของ MQDC ดังจะเห็นได้ว่าประเทศต่าง ทั่วโลกตั้งเป้าหมายร่วมกันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero carbon) ในปี 2050 แต่สำหรับ MQDC ตั้งเป้าหมายไปถึงระดับสุทธิเป็นลบ(Carbon negative) ในปีเดียวกัน โดยทาง MQDC เลือกที่จะเดินหน้าสู่พันธกิจที่ท้าทายอย่างมาก เนื่องจากโลกกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยลงมือแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน อีกทั้งการร่วมรับมือกับความท้าทายของปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพันธกิจหลักของ RISC by MQDC ที่ต้องทุ่มเททำการวิจัยเพื่อเสริมศักยภาพขององค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของทุกสรรพสิ่งมาโดยตลอด

โดยทาง RISC by MQDC มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถเดินหน้าไปสู่พันธกิจอันยิ่งใหญ่นี้ได้ตามเป้าหมาย โดยอาศัยการดำเนินกลยุทธภายใต้แนวคิดตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Thinking)” และนำการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment)” มาใช้ และปัจจุบันMQDC กำลังอยู่ระหว่างเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำคาร์บอนฟุตพรินท์ของ MQDC และบริษัททั้งหมดที่อยู่ภายใต้กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(DTGO) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของMQDC โดยครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมในทุกประเภทกลยุทธ์ดังกล่าวจะดำเนินงานต่อเนื่องไป กำหนดเป็นระยะสั้น กลางและยาวไปจนถึงปี 2050 เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Nature Positive & Carbon Negative 2050 ทาง MQDC มีการวางแผนเพื่อดำเนินงานตามกลยุทธ์ ดังนี้

-Net Zero Energy Ready Building สร้างอาคารที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน มุ่งสู่เป้าหมายอาคารที่ใช้พลังงานเป็นศูนย์ โดย MQDC ได้เริ่มนำมาตรฐานการออกแบบจากองค์ความรู้ทั่วโลกในด้าน Smart & Energy Efficient Building มาออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น การออกแบบอาคารให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการใช้พลังงาน (Passive design) การออกแบบระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ (Fresh air) ที่มีการแลกเปลี่ยนความร้อน เพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้อยู่อาศัยโดยไม่เพิ่มภาระแก่ระบบปรับอากาศ ระบบทำความเย็นรวมศูนย์ (District Cooling System) และอาคารสาธารณูปโภคส่วนกลาง (CUP) รวมถึงเพิ่มศักยภาพการผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียนในโครงการ ติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับโครงการ ตลอดจนการติดตั้ง EV Charger เพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป

-Reduce Construction Impacts and Employ Circular Economy การเลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดผลกระทบจากการก่อสร้างและสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบเพื่อเลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น วัสดุคาร์บอนต่ำหรือวัสดุที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิล เช่น กรีนคอนกรีตหรือผลิตภัณฑ์จากไม้ การออกแบบอย่างเหมาะสมช่วยลดปัญหาเศษวัสดุก่อสร้างและลดขยะที่เกิดขึ้นในงานก่อสร้าง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจสีเขียว ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึง การปรับมุมมองว่าอาคารนั้นเป็นเสมือนธนาคารรับฝากวัสดุก่อสร้างประเภทต่าง (The Building as a Material Bank) เมื่อมีการใช้งานเสร็จแล้วก็สามารถถอดเอาวัสดุต่าง เหล่านี้ไปประกอบขึ้นเป็นอาคารใหม่ได้ ทดแทนแนวคิดเดิมที่หากอาคารไม่เป็นที่ต้องการแล้วต้องมีการทุบทำลายก่อให้เกิดขยะปริมาณมหาศาล

-Nature-based Solution and Enhance Biodiversity เพื่อพิสูจน์จุดยืนตามแนวคิดการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกชีวิต หรือ “For All Well-Being” MQDC มุ่งสร้างพื้นที่สีเขียวที่เป็นมากกว่าเพียงต้นไม้ประดับภูมิทัศน์ แต่ยังช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากบรรยากาศ และเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ให้กับผู้อยู่อาศัย รวมไปถึงการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน มุ่งสร้างระบบนิเวศสำหรับสิ่งมีชีวิตอยู่ได้จริง ช่วยทดแทนการสูญเสียพื้นที่สีเขียวในพื้นที่เมือง โดยนำพืชพันธุ์ท้องถิ่นมาปลูก ช่วยลดความต้องการปุ๋ยและน้ำ และยังทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าไม้ต่างถิ่น

-ClimateTech & Innovation ลงทุนและวิจัยในเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อช่วยลดก๊าซเรือนกระจก เช่น นวัตกรรม Direct Air Capture (DAC) สำหรับดึงเอสคาร์บอนไดออกไซด์มากักเก็บและแปรสภาพเพื่อใช้ในเชิงอุตสาหกรรม หรือวัสดุที่สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ (Carbon absorption material) เพื่อช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศโลก

ทั้งนี่ที่ผ่านมา ทางศูนย์เองได้มีการวิจัยและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาใช้ได้จริง ซึ่งจะเห็นได้จากโครงการ The Forestias ซึ่งถือเป็นโครงการต้นแบบของการสร้างพื้นที่ป่าร่วมกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนระบบพลังงานประสิทธิภาพสูง และระบบนิเวศที่สมบูรณ์ของผืนป่าภายในโครงการ รวมถึงนำระบบทำความเย็นรวมศูนย์ (district cooling system) และ อาคารสาธารณูปโภคส่วนกลาง(CUP) มาใช้

นอกจากนี้ RISC by MQDC ยังได้กำหนดมาตรฐาน Sustainability Framework เพื่อให้ทุกโครงการของ MQDC และบริษัทในเครือดำเนินงานภายใต้กรอบมาตรฐานดังกล่าว เพื่อการพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืน

ไม่ใช่แค่โครงการใหญ่อย่าง The Forestias เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงการอื่น อาทิ โครงการWhizdom โครงการ Mulberry Grove และโครงการอื่น ในอนาคต เราได้นำนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาเพื่อให้เป็นไปตามพันธกิจของเรา เช่น ระบบทำความเย็นรวมศูนย์ (District cooling system) หรืออาคารสาธารณูปโภคส่วนกลาง (CUP) การพัฒนาหลังคาเขียว (Green roof) สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและแมลง ฯลฯ การออกแบบสิ่งต่าง เหล่านี้ล้วนใช้หลักSustainnovation เพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของทุกสรรพสิ่ง หรือ For All Well-Being ซึ่งเราประสบความสำเร็จมาโดยตลอด” รศ.ดร.สิงห์ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*