ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ชี้กำลังซื้ออ่อนแอ จากปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงถึง 90% ดอกเบี้ยบ้านมีแนวโน้มขาขึ้น เป็นเหตุให้ยอด Reject Rate พุ่งถึง 35% ตั้งแผนกไฟแนนซ์เชียลคลินิค ช่วยอนุบาลลูกค้าก่อนยื่นขอสินเชื่อแบงก์  ครึ่งปีหลังลุยเปิด 6 โครงการมูลค่า 4,000 ล้านบาท  ดันยอดขายให้ได้ตามเป้าที่ 8,600 ล้านบาท

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังมีปัจจัยกระทบหลายด้าน ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง90% โดยเฉพาะหนี้จากสินเชื่อบุคคลทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรกดเงินสด และหนี้ผ่อนรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าถูกปฎิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพิ่มมากขึ้น จะเห็นได้จากสัดส่วนลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทขยับเพิ่มขึ้นจากระดับกว่า 20%เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 35%

ทำให้บริษัทต้องตั้งแผนกไฟแนนซ์เชียลคลินิคขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่อยู่ระหว่างเตรียมยื่นกู้ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน รวมทั้งให้ลูกค้าผ่อนเงินดาวน์กับบริษัทก่อนยื่นกู้ขอเงินกู้จากสถาบันการเงินประมาณ 6-9 งวด เนื่องจากสินค้าหลักของบริษัทเป็นบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย นอกจากนี้ยังให้คำแนะนำกับกลุ่มลูกค้าในการเตรียมตัวให้พร้อมด้านการเงินก่อนยื่นกู้

“ปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดอสังงหาฯตอนนี้คือ กำลังซื้อของลูกค้าอ่อนแอ มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น แต่มีรายได้คงที่ จึงทำให้คนไทยติดกับดักหนี้ครัวเรือน มีหนี้เสียในระบบสูงขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน รวมถึงการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ Personal Loan เพื่อควบคุมปัญหาหนี้เสียในระบบ”


สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ทำยอดขายได้ 90% จากเป้ายอดขาย 4,300 ล้านบาท และรายได้ 2.500 ล้านบาท ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังต้องเร่งสปีดทำยอดขายให้ได้ตามเป้าที่ปีนี้ตั้งไว้ที่ 8,600 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มในช่วงครึ่งปีหลังอีก 6 โครงการมูลค่า 4,000 ล้านบาท  ขณะที่ Backlog รอรับรู้รายได้ในช่วง 3 เดือนนี้อยู่ที่ 1.200 ล้านบาท

โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทจะมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 25-45 ปี นิยมซื้อที่อย่อาศัยในระดับราคา 2- 7 ล้านบาทตั้งแต่สินค้าทาวน์เฮ้าส์ไปจนถึงบ้านเดี่ยว ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่กรุงเทพ-ปริมณฑล และพื้นที่โซน EEC ประมาณ 40-50 โครงการ แบ่งเป็นกลุ่มสินค้าทาวน์เฮ้าส์ราคา 2-3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 4-7 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการในทำเลที่สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทาง และการสร้างสรรค์โครงการให้มีความคุ้มค่า โดยผ่านการออกแบบที่พิถีพิถันใส่ใจในทุกขั้นตอน ทั้งการดีไซน์ รวมถึงการออกแบบฟังก์ชันพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแต่ละครอบครัวได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังได้นำแนวคิดการพัฒนาบ้านในแบบ Smart Eco Living หรือบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าอีกด้วย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*