พราว เรียล เอสเตทฯ เร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอสังหาฯโต เตรียมพร้อมรับมือนักท่องเที่ยวนักลงทุน จัดเพิ่มทีม Foreign Sales พบชาวรัสเซียหนีสงครามหันซื้อคอนโดฯหัวหินเป็นบ้านหลังที่สอง ล่าสุดเปิดขาย”วี อารีย์” (VI ARI)ราคาเริ่มต้นที่ 82-100 ล้านบาท จำนวนเพียง 6 ยูนิต คาดปิดขายภายในสิ้นปี เล็งซื้อที่ดินย่านราชพฤกษ์ ผุดบ้านเดี่ยวราคา 20-30 ล้านบาท เปิดขายปีหน้า ตั้งเป้า 3-5 ปี ขยายพอร์ตแนวราบเป็น 10-20%
นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยถึงสภาวะทางการเมืองที่ยังร้อนแรงในขณะนี้ว่า อยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว และควรรีบดำเนินการ พิจารณาในเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 2567 ให้ออกมาโดยเร็ว  มิเช่นนั้นจะกลายเป็นนโยบายที่เกาะติดกับงบประมาณเดิม ที่จะนำมาใช้ต่อในปี 2566 นี้ ซึ่งทุกคนอยากเห็นแผนการลงทุนในระยะสั้น กลาง และยาว ว่ามีอะไรบ้าง โดยที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเมื่อดำเนินการไปแล้ว จะดำเนินการอย่างไรให้ให้โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ได้ถูกใช้ ซึ่งภาคอสังหาฯก็มีส่วนสำคัญที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน

“อยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะมีมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งเชื่อว่าหากภาคธุรกิจการท่องเที่ยวฟื้นตัวก็จะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาฯอย่างแน่นอน โดยรัฐบาลชุดใหม่ต้องมีการเตรียมตัวรับมือกับนักท่องเที่ยวในทุกช่องทางการให้บริการ สำหรับภาคอสังหาฯเองรัฐบาลก็ควรที่กระตุ้นชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุนภาคอสังหาฯมากขึ้นด้วย โดยในมุมการขับเคลื่อนลงทุนของพราว เรียล เอสเตทฯเรามีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีการขยายพอร์ตค่อนข้างมาก ส่งผลให้ยอดขายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พราวฯมีอัตราการเติบโตในระดับ 65% ซึ่งเป็นตัวเลขที่นับรวมการเข้าไปลงทุนซื้อ 2 โครงการคอนโดมิเนียมจากบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และจะเป็นผลดีต่อการรับรู้รายได้ในปี 2567 ด้วย”นายพสุ กล่าว

นายพสุ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า ยังมีการแข่งขันสูง จะการพัฒนาโครงการจะต้องสร้างจุดขายให้มีความโดดเด่นและมีความชัดเจนของตัวตนมากที่สุด ซึ่งผ่านมา บริษัทพราวฯมีการพัฒนาโครงการแนวสูงระดับลักชัวรีทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองท่องเที่ยว ทั้ง หัวหิน และ ภูเก็ต  ซึ่งบริษัทฯได้เตรียมความพร้อมในการรับมือนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่จะเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ด้วยการเตรียมเพิ่มทีม Foreign Sales และพยายามเพิ่มความสัมพันธ์กับบริษัทตัวแทนขายต่างชาติมากขึ้น ซึ่งเดิมมีการเก็บข้อมูลเหล่านี้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในหัวหิน โดยที่ผ่านมานักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติจะเป็นกลุ่มสแกนดิเนเวีย และยุโรป แต่ในช่วงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ได้เห็นนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากรัสเซียเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในหัวหินมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการ “เวหา หัวหิน”(Vehha Hua Hin) มีชาวรัสเซียมาซื้อห้องชุดถึงกว่า 10 ยูนิต จากยอดขายของชาวต่างชาติกว่า 20% ซึ่งราคาขายอยู่ที่ประมาณ 130,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งจะถูกกว่าห้องชุดในจ.ภูเก็ต ที่เป็นอีกจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่ชาวรัสเซียนิยมซื้อที่อยู่อาศัยมากเป็นอันดับ1

ล่าสุดบริษัทฯพร้อมเปิดขายโครงการ “วี อารีย์” (VI ARI)โครงการแนวราบแห่งแรกของบริษัทอย่างเป็นทางการ ซึ่งตั้งอยู่ในซอยอารีย์ 3 บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรี สูง 3.5 ชั้น ขนาดที่ดิน 53-56.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 550 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำและลิฟต์ส่วนตัวทุกหลัง ราคาเริ่มต้นที่ 82-100 ล้านบาท สุดเอ็กซ์คลูซีฟความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนเพียง 6 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีลูกค้าที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่อารีย์อยู่แล้ว ให้ความสนใจเข้ามาชมโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และนักธุรกิจเกี่ยวกับคลินิกศัลยกรรม ต่างสนใจที่จะซื้อให้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับลูกหลาน แต่บ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี ลูกค้าในปัจจุบันจะต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจร่วมของสมาชิกในครอบครัวก่อน ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปลายปี 2566 นี้ และจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในต้นปี 2567

ที่ดินแปลงนี้เราซื้อมาเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ในราคาประมาณ 400,000-500,000 บาท/ตารางวา หรือเกือบ 200 ล้านบาท และมีการออกแบบพื้นที่ผ่านนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตวิถีคนเมืองอย่างสุนทรียภาพ กลมกลืนวัฒนธรรมเก่า-ใหม่ที่ลงตัว จากการศึกษาค้นคว้าวิจัย เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการสำหรับการอยู่อาศัยในอนาคตของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี เพื่อใช้ชีวิตในย่านและในบ้านที่ดีที่สุดที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง P49 Deesign ผสานต่อแนวคิดออกแบบตกแต่ง พร้อมด้วย stu/D/O architects และ TK Studio บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบงานสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ชั้นนำ นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถปรับเปลี่ยนและเลือก Theme การตกแต่งภายในบ้านและปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ตามความต้องการ พร้อม Private Courtyard พื้นที่สีเขียวและพันธุ์ไม้นานาชนิดภายในตัวบ้านที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น อีกทั้งยกระดับความพิเศษอีกขั้นด้วย Luxury Furniture แบรนด์ชั้นนำจากยุโรปโดย Euro Creations พร้อมเสริมฟังก์ชัน VI CARE – Smart Home โดยนำนวัตกรรม ส่งเสริมเรื่อง Net Zero ให้บ้านเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยี Solar Cell, Food Waste Composting Machine และ Food Waste Disposer , ระบบ Home Automation ที่ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเชื่อมต่อกับระบบต่าง ๆ ภายในบ้านแบบออนไลน์ได้”นายพสุ กล่าว

นายพสุ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยประสบการณ์ของบริษัทฯที่ผ่านมา มีสินค้าที่หลากหลายเซกเมนต์ โดยจะเน้นพัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรีขึ้นไป และเป็นครั้งแรกที่พัฒนาโครงการแนวราบ หากประสบความสำเร็จ ก็จะขยายฐานหันไปพัฒนาโครงการแนวราบชานเมืองมากขึ้น โดยเล็งทำเลโซนกทม.ฝั่งตะวันตก ย่านราชพฤกษ์ ซึ่งจะใช้พื้นที่ประมาณ 20-30 ไร่ พัฒนาบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ ระดับราคา 20-30 ล้านบาท โดยตั้งเป้าระยะเวลา 3-5 ปี จะเพิ่มพอร์ตโครงการแนวราบอยู่ที่ 10-20% จากมูลค่ายอดขายรวม

ด้านนายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PROUD กล่าวว่า จากการศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึก การเลือกซื้ออสังหาฯ จากทำเลเป็นปัจจัยแรกที่ผู้บริโภคจะเลือกพิจารณาในการซื้อบ้าน โดยเฉพาะทำเลที่คุ้มค่าต่อการอยู่อาศัย ทำเลที่คุ้นเคย และทำเลที่ในอนาคตมีโอกาสจะถูกพัฒนาสูง อีกทั้ง การเลือกบ้านให้เหมาะกับวิถีและคุณภาพชีวิต ให้ความยืดหยุ่นที่เข้ากันกับความต้องการของทุกคนในครอบครัว ผ่านพื้นที่ใช้สอย รูปแบบบ้าน รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ  ถือเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ทั้งนี้ โครงการ “วี อารีย์”( VI ARI)จึงไม่ได้มีเพียงความโดดเด่นของทำเลที่ตั้งใจกลางอารีย์ซอย 3 แต่ทุกๆ รายละเอียดการออกแบบยังผ่านการค้นคว้าวิจัยและวิธีคิดอย่างดีในทุกๆ จุดอีกด้วย

นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ท่ามกลางการเติบโตของโครงการที่พักอาศัยมากมายที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ตลาดบ้านระดับลักชัวรีขึ้นไปถือเป็นเซกเมนต์ที่น่าจับตามองและสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่สามารถขับเคลื่อนไปได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเลใจกลางเมือง ซึ่งเป็นทำเลที่มีดีมานด์หรือความต้องการสูง แต่ซัพพลายมีจำกัดเนื่องจากยากที่จะหาที่ดินมาพัฒนาเป็นโครงการบ้านพักอาศัยได้ จึงทำให้ทำเลนี้มียอดขายสูงถึง 94% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับทำเลอื่นๆ ปัจจุบันซัพพลายในย่านอารีย์ ราคาเกิน 60 ล้านบาท มีไม่เกิน 15 ยูนิต เท่านั้น จึงถือเป็นความได้เปรียบของ “วี อารีย์”( VI ARI) เนื่องจากทำเลนี้ส่วนใหญ่จะพัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด ดังนั้นโครงการดังกล่าวจึงถือว่าเป็นบ้านเดี่ยวเพียงโครงการเดียวในย่านใจกลางซอยอารีย์

อีกหนึ่งจุดเด่น ที่สร้างความแตกต่างของทำเลอารีย์คือ การตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่แวดล้อมไปด้วยพื้นที่สำนักงานระดับเกรดเอบวก และเกรดเอ ทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าในปัจจุบัน และที่กำลังก่อสร้างกว่า 1.6 ล้านตารางเมตรด้วยศักยภาพที่เด่นชัดดังกล่าว ประกอบกับความสะดวกในด้านการคมนาคม อาทิ รถไฟฟ้าบีทีเอส ตำแหน่งใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังทำเลอื่นๆ ที่สำคัญของกรุงเทพฯ ได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังเป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ อยู่ใกล้สถานศึกษา และเป็นศูนย์รวมโรงพยาบาลชั้นนำ จึงเรียกทำเลนี้ได้ว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง และมีโอกาสที่จะถูกพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ อีกประเด็นที่สำคัญคือตัวโครงการมีจุดเด่นในด้านรูปแบบบ้านที่ผสานความหรูหราและเสน่ห์แห่งงานสถาปัตยกรรมเข้าด้วยกัน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัวได้อย่างลงตัว ถือเป็นทางเลือกลำดับต้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรีอย่างแท้จริง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*