เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิดกลยุทธ์ปี’67 ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ “POWER OF TOGETHER” ตั้งเป้าหมายรายได้รวมทุกธุรกิจ 15,100 ล้านบาท พร้อมลุยเปิดใหม่ 17 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 28,000 ล้าน ตั้งเป้ายอดขาย 17,500 ล้าน และยอดโอน 12,700 ล้าน ล่าสุดเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ RENT TO OWN ในเดือนมีนาคมนี้นี้ ทำหน้าที่เสมือน Financial Asset ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบ้านได้ง่าย

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ในปี 2567 นี้บริษัทวางแผนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตโดยให้ความสำคัญกับปัญหาของเศรษฐกิจประเทศ ควบคู่ไปกับ Social Challenge ที่สามารถตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของบริษัทคือ Lifelong Trusted Partner ภายใต้การดำเนินธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก คือ SENA Development, SENX และ SENA Green Energy

โดยจะให้ความสำคัญกับ segmentation มากขึ้น เน้นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่สามารถซื้อบ้านได้ที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ไปจนถึง 3.6 ล้านบาท หรือมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นฐานกลุ่มใหญ่ที่มากที่สุดถึง 54%  เทียบจากรายได้ครัวเรือนของคนกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งตรงกับสินค้าบ้านแนวราบหรือคอนโดมิเนียมในกลุ่ม Affordable Segment ที่เป็นสินค้าหลักของกลุ่มเสนาฯ โดยปัจจุบันมีโครงการพร้อมขายทั้งหมด 99 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 116,396 ล้าน แบ่งเป็นคอนโดฯ 56 โครงการ แลพแนวราบ 43 โครงการ ในจำนวนนี้เป็นสินค้า Affordable segmentจำนวน 47 โครงการ มูลค่า 37,409  ล้านบาท โดยเฉพาะแบรนด์คอนโดฯ “คิทท์” ที่มีถึง 27 โครงการ

ขณะเดียวกันบริษัทยังครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งของกลุ่มคอนโดฯ BOI ซึ่งตามข้อบังคับปัจจุบันต้องมีราคาไม่เกิน 1.2 ล้าน และต้องมีพื้นที่ 24 ตารางเมตรขึ้นไป ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 22 โครงการ  9,816 ยูนิต มูลค่า  13,840 ล้านบาทภายใต้แบรนด์ SENA KITH จำนวน 6 โครงการ  6,500 ยูนิต มูลค่า  8,800 ล้านบาท , COZI จำนวน 3 โครงการ  1,920 ยูนิต มูลค่า 3,191 ล้านบาท และ ECO TOWN จำนวน 3 โครงการ  1,365 ยูนิต มูลค่า  1,900 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทยังขยายเซ็กต์เมนต์ไปจับตลาดบนเพิ่มเติม ผ่านการบริหารจัดการของบริษัทในเครือ คือ SENX โดยจะเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีในทำเลย่านกรุงเทพฯ  ราคาประมาณ 30 ล้านบาท พร้อมบริการส่วนตัวระดับ Elite Residences ที่ผ่านการอบรมจากกลุ่มพาร์ทเนอร์คือ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป (HHP) จากญี่ปุ่นด้วยมาตรฐานของโรงแรมในระดับสากล

รวมทั้งยังมีนวัตกรรมการจัดการอสังหาฯ เพื่อตอบโจทย์สถานภาพทางการเงินทุกรูปแบบของผู้ซื้อ หรือ New Financial Services and Innovation โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาทางการเงินส่วนตัวเพื่อการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร โดยทีมที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์การเงินคอยให้บริการ รวมถึงการให้สินเชื่ออเนกประสงค์ (Non-Bank) เพื่อบริหารจัดการเครดิต หรือเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อบ้าน ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย  ภายใต้ชื่อ “เงินสดใจดี” เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้ง่ายขึ้น โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาสามารถช่วยให้ลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้เป็นยอดรวมถึง 300 ล้านบาท

ล่าสุดเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ RENT TO OWN หรือ เช่าซื้อ อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมนี้นี้ โดยทำหน้าเสมือน Financial Asset ที่จะช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังตอบโจทย์ Generation Rent หรือคนในกลุ่ม Gen Y และ Z ที่เป็นเจ้าของบ้านได้ยากขึ้นจากราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับรายได้ในปัจจุบัน

และในอนาคตยังมีแผนจะเปิดตัว SENA LOW-CARBON หรือการใช้ชีวิตแบบรักษ์โลก ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเสนา อาทิ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ คอนโด Low-Carbon การติดตั้ง EV Ready ส่งเสริมการใช้รถสาธารณะโดย V Move หรือบริการรถรับส่งฟรี มีระบบบริหารจัดการขยะเพื่อการรีไซเคิล และ Zeroboard แพลตฟอร์มคำนวณการปล่อยคาร์บอน รวมถึงการใช้แอพลิเคชัน SENA360 และ SMARTIFY ที่จะเป็นตัวช่วยให้การใช้ชีวิตแบบ Low Carbon เป็นเรื่องง่าย

ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจพลังงานสะอาดที่ดำเนินงานโดยบริษัทเสนา กรีน เอเนอร์ยี่ จำกัด โดยวางเป้าหมายขยายตลาดธุรกิจ Solar สู่ตลาด B2C เพิ่ม รวมถึงแผนขยายธุรกิจ EV Charger สู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายครบวงจร ขณะที่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Neta เตรียมพร้อมขยายเพิ่มเติมด้วยเป้าขาย 1,000 คันในปีนี้ พร้อมโมเดลธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่เป็นมากกว่าดีลเลอร์ทั่วไป ด้วยโครงการ Reforestation เพื่อยกระดับแผนธุรกิจสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตระดับอินเตอร์ โดยตั้งเป้าในปีนี้อยู่ที่ 10,600 ไร่

สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจปี 2567 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านแนวราบ 5 โครงการ และคอนโดฯ 12 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 17,500 ล้าน และเป้ายอดโอน 12,700 ล้าน ส่วนธุรกิจบริหารโครงการและบริการตั้งเป้ารายได้ไว่ที่ 1,400 ล้าน และธุรกิจพลังงานสะอาดตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท

ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่าในปี 2567ยังมีความท้าทายของแผนขับเคลื่อนธุรกิจ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือน ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นในรอบ 10 ปี ส่งผลให้สถาบันการเงินปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสูงถึง 70%  รวมทั้งราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.5% ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเฉลี่ย 5-10%

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*