อารียาฯมั่นใจเศรษฐกิจฟื้นตัว เผยเทรนด์คอนโดฯยูนิตเล็กลง ผลจากราคาที่ดินแพง เปิดแผนปี61 ผุด 11 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 7,920 ล้านบาท ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าต่างชาติเพิ่ม คาดแบงก์ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ยอดรีเจคลดลง ตั้งเป้ารายได้โต30%

 

นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือA  เปิดเผยถึงทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 ว่า มีทิศทางที่ดีขึ้นคาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 10% จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี การลงทุนต่างๆที่มีมากขึ้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้น ทำให้ความมั่นใจกลับมา และส่งผลบวกต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่กลับมาดีขึ้น นอกจากนี้การลงทุนในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะส่งผลให้เกิดการกระจายตัวของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดรอบๆ ซึ่งเป็นโอกาสที่นักลงทุนไทยและต่างชาติต้องจับตามอง และจะเห็นว่าเทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มียูนิตที่เล็กลงมากขึ้น เพราะราคาที่ดินที่แพงขึ้น ส่งผลต่อการพัฒนาที่จะต้องใช้พื้นที่ให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดและมีการกำหนดราคาขายที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้

 

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 11 โครงการ มูลค่ารวม 7,920 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 10 โครงการ มีที่ดินรองรับแล้วซึ่งกระจายในทุกโซนของกรุงเทพฯ  และแนวสูง 1 โครงการ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินรอบนอกซีบีดี พัฒนาภายใต้แบรนด์ “A Space” ราคาขายเฉลี่ย 4 ล้านบาท/ยูนิต แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  โดยปีนี้ตั้งงบซื้อที่ดินประมาณ 1,000 ล้านบาท

 

ส่วนความคืบหน้าการเช่าที่ดินสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์ (AUAA)ที่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิมคือสำนักงานพระคลังข้างที่ บนที่ดิน 5 ไร่เศษ สัญญา 30 ปีบวกการก่อสร้าง 4 ปีนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลในการพัฒนา และปัจจุบันกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่การอำนาจการบริหารโดยสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อสัญญาแต่อย่างใด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คาดว่าคงต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2 ปี

 

ด้านสต๊อกของโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทจะขายสินค้าของโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ในสต๊อกให้ได้มากกว่า 50% เพื่อทำให้เป็นรายได้กลับมา พร้อมกับการนำบางโครงการไปเสนอขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติผ่านเอเยนซี่ ซึ่งปีนี้ได้ตั้งเป้ายอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 1,400 ล้านบาท โดยที่การขายให้กับลูกค้าต่างชาติเป็นการกระจายความเสี่ยงในแง่การรับรู้รายได้ของบริษัท เพราะลูกค้าชาวต่างชาติมีกำลังซื้อที่สูง

 

“ปัจจุบันการโอนของลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยกับบริษัทยังเผชิญปัญหาในด้านอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูงที่ 30% เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นกลุ่มที่มีการซื้อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท ในสัดส่วน 80-90% ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีผลกระทบในด้านการขอสินเชื่อ หลังจากสถาบันการเงินต่างๆมีความเข้มงวดในการให้สินเชื่อกับลูกค้ารายย่อยที่มีรายได้ไม่สูง แต่ในปีนี้คาดว่าสถาการณ์การอนุมัติสินเชื่อจะมีความผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากที่สถาบันการเงินต่างๆมีการจัดการเรื่องคุณภาพหนี้ของลูกค้ารายย่อยได้เป็นอย่างดีแล้ว และเริ่มกลับมาปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จากการแข่งขันของสินเชื่อบ้านในตลาดที่มีการแข่งขันสูงมากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันด้านดอกเบี้ย”นายวิศิษฎ์ กล่าว

 

 

ส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการแนวราบเป็นหลักซึ่งคาดว่ายอดขายของโครงการแนวราบที่ตั้งเป้าหมายไว้ 8,366ล้านบาท จะเข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ราว 5,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทพัฒนาโครงการแนวราบที่สร้างเสร็จก่อนขาย ทำให้จะมีการรับรู้รายได้โครงการแนวราบเข้ามาได้ทันที พร้อมกับมีการทยอยรับรู้มูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็น Backlog ของโครงการแนวราบ จาก Backlog ทั้งหมด 3,090 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะเป็น Backlog ของโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเริ่มรับรู้ในปี 2562 เนื่องจากเป็น Backlog ของโครงการของคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในปีก่อน ซึ่งจะมีการสร้างเสร็จและโอนในปี 2562 เพราะในปีนี้บริษัทไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่โอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด