เอ็น.ซี.ซีฯฯเผยยอดจองพื้นที่จัดงานใน “ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์”โฉมใหม่พุ่งแล้ว 70% ระบุแม้มีปัจจัยลบแต่ลูกค้าอุตสาหกรรมไมซ์ไม่ยกเลิกจัดงาน คาดอนาคตผงาดเป็นศูนย์กลางในเอเชีย มั่นใจช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและGDP ประเทศเพิ่มสูงขึ้น  สามารถดึงดูดจำนวนผู้จัดงาน-ผู้เข้าใช้บริการมากกว่า 13 ล้านคน/ปี ตั้งเป้าปีนี้มีผู้จัดงานอิเวนต์ 2 ปี 130 งาน ล่าสุดขยายพื้นที่โซนรีเทล ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 30% เป็น 11,000 ตารางเมตร พร้อมดึงกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯเข้าบริหารพื้นที่ คาดภายในไตรมาส1/65 ปิดดีลผู้เช่าเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตั้งเป้ารายได้ 15% จากรายได้รวม
นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล
นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่เปิดให้จองพื้นที่“ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” (Queen Sirikit National Convention Center หรือ QSNCC) เมื่อเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดจองพื้นที่การจัดงานแล้ว 70% แบ่งเป็นงานเทรดแฟร์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล สัดส่วน 60% และผู้จัดงานในประเทศ สัดส่วน 40% ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย ทั้งในส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) และการเจรจาธุรกิจระหว่างประเทศมากขึ้น ในส่วนของนโยบายของประเทศไทย ถือว่าอยู่ในแนวหน้าที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นที่ตอบรับของนักท่องเที่ยว และกลุ่มอุตสาหกรรมไมซ์ (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions : MICE) ที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเป็นอย่างดี สังเกตได้จากลูกค้าที่จองพื้นที่ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา ยังไม่มีความหวั่นไหวที่จะยกเลิกการจัดงานแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทฯก็จะสร้างความมั่นคงและดูแลเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนได้ต่อไปเช่นกัน

โดยเอ็น.ซี.ซี.ฯ มุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการแพลตฟอร์มอิเวนต์ทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาส โดยจะขับเคลื่อนศูนย์ฯ สิริกิติ์ให้เป็นมากกว่า “ศูนย์การประชุมฯ” แห่งใหม่ของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคาดว่าเมื่อโครงการพัฒนาแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2565 จะสามารถดึงดูดจำนวนผู้จัดงานและผู้เข้าใช้บริการได้มากขึ้นกว่า 13 ล้านคน/ปี  จากศูนย์ฯเดิมที่สามารถจุดผู้จัดงานและผู้เข้าใช้บริการได้ประมาณกว่า 6 ล้านคน/ปี

นายศักดิ์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มจากประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) ทำให้มืออาชีพที่จัดงานทั่วโลกหันมาโฟกัสที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในการจัดงานแสดงสินค้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์ในเอเชียได้ในอนาคต โดยปี 2565-2566 ตั้งเป้ามีผู้จัดงานอิเวนต์รวม 130 งาน

ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการได้อย่างครอบคลุม จึงได้เตรียมขยายพื้นที่โซนรีเทลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 30% โดยการเปิดตัวพื้นที่รีเทลของศูนย์ฯสิริกิติ์โฉมใหม่นี้ จะเป็นศูนย์รวมด้านแอคทีฟไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบของกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Active Lifestyle Mall (BALM) โดยปรับขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้นจากเดิมที่ 7,200 ตารางเมตร เป็น 11,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนตามหมวดหมู่ประกอบด้วย กลุ่มร้านค้าอาหารและเครื่องดื่ม,   กลุ่มอีเวนต์ซัพพอร์ต และกลุ่มแอคทีฟไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะรองรับความต้องการของกลุ่มผู้รักสุขภาพและการออกกำลังกาย พร้อมกับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของรีเทลในประเทศไทยที่มีบริการในลักษณะนี้  นอกจากนี้  ยังเตรียมเปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกของสุดยอดแบรนด์อุปกรณ์และเครื่องแต่งกายกีฬาชั้นนำของไทย

โดยเอ็น.ซี.ซี.ฯ ได้มอบความไว้วางใจให้กลุ่มสายงานพัฒนาธุรกิจรีเทลของ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)  หรือ FPT  ขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาและการตลาดส่วนพื้นที่รีเทลของศูนย์ฯ ด้วยเล็งเห็นถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการโครงการที่ประสบความสำเร็จมาแล้วอย่าง “สามย่านมิตรทาวน์” และโครงการล่าสุด “สีลมเอจ” ประกอบกับเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง จึงเชื่อมั่นว่า FPT จะสามารถสร้างสีสันและดึงยอดทราฟิกให้แก่พื้นที่รีเทลของศูนย์ฯสิริกิติ์ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาบริษัทฯได้ใช้ระยะเวลาในการปิดปรับปรุงศูนย์ฯเกือบ 4 ปี  โดยลูกค้าที่ใช้จองพื้นที่จัดงานจะเป็นกลุ่มเทรดแฟร์ อิเวนต์ และงานศิลปะระดับโลกต่างๆ ที่เป็นลูกค้าระดับนานาชาติมากขึ้น โดยสัดส่วนรายได้ในส่วนของรีเทลคาดว่าจะคิดเป็น 15% ของรายได้ทั้งหมดจากการบริหารจัดการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ซึ่งตั้งเป้ารายได้ปีแรกเติบโต 5 เท่าจากศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เดิม” นายศักดิ์ชัย กล่าว

“สิ่งที่กังวลคือจะคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างไร ซึ่งในส่วนของศูนย์ประชุมฯได้มีการทำเวิร์คชอปในการใช้ดีไซน์เนอร์ในการนำเทคโนโลยีเพื่อรองรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการลดการสัมผัสน้อยลง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงาน”นายศักดิ์ชัย กล่าวในที่สุด

างสาวธีรนันท์ กรศรีทิพา

ด้านนางสาวธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)  หรือ FPT กล่าวว่า พื้นที่ทำเลพระราม 4 ธุรกิจในเครือยังมีอีกหลายโครงการที่จะทยอยเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการขยายเมืองเข้ามาในโซนพระราม 4 ซึ่งเติมเต็มประชากรที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้บริษัทศึกษาข้อมูล ทำให้เกิดเป็นคอนเซ็ปต์ Bangkok Active Lifestyle Mall (BALM) เต็มรูปแบบแห่งแรกของกรุงเทพฯ  จึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีและเป็นอีกหนึ่งแหล่งพบปะสังสรรค์แห่งใหม่ย่าน CBD ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้จัดงานและผู้เยี่ยมชมอิเวนต์ แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนเมืองที่มีความแอคทีฟและคนรักการออกกำลังกาย โดยในอนาคต พื้นที่รีเทลใหม่นี้จะกลายเป็นจุดศูนย์รวมที่เชื่อมโยงคอมมูนิตี้ที่หลากหลายเข้าไว้ด้วยกันอย่างแน่นอน

“ในฐานะตัวแทนบริษัทฯ เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจาก เอ็น.ซี.ซี.ฯ ให้เป็นผู้พัฒนาและดูแลการตลาดพื้นที่รีเทลของศูนย์ฯ สิริกิติ์โฉมใหม่   โดยเราจะนำองค์ความรู้และประสบการณ์มาประยุกต์ใช้ให้โครงการแห่งนี้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย ถึงแม้รีเทลแห่งนี้จะตั้งอยู่ภายในศูนย์การประชุมฯ แต่ด้วยการออกแบบพื้นที่ที่มีความทันสมัย เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน ประกอบกับทำเลที่ตั้งที่เดินทางสะดวก เชื่อมตรงกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT อีกทั้งยังคอนเน็คกับสวนป่ากลางกรุง ‘สวนป่าเบญจกิติ’ พื้นที่สีเขียวผืนใหญ่ร่วม 450 ไร่ ที่เปรียบเสมือนปอดแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ และเป็นจุดศูนย์รวมของชุมชนรอบข้างและกลุ่มผู้รักสุขภาพสำหรับใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนและออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ ด้วยศักยภาพของพื้นที่แห่งนี้ประกอบกับความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบ ทำให้มั่นใจได้ว่าพื้นที่รีเทล QSNCC จะเป็นห้างใหม่ใจกลางเมืองที่น่าจับตามองด้วยรูปแบบการให้บริการพื้นที่ที่พิเศษ แตกต่าง และตอบโจทย์สังคมเมืองยุคใหม่” นางสาวธีรนันท์ กล่าว

ปัจจุบันมีร้านอาหารและร้านค้าแบรนด์ชั้นนำจำนวนมากให้ความสนใจพื้นที่ โดยได้ทยอยเซ็นสัญญาแล้วกว่า 20% ของพื้นที่รีเทลทั้งหมด และยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปีนี้ จะสามารถปิดดีลผู้เช่าได้เพิ่มขึ้นเป็น 40% โดยรีเทลส่วนใหญ่ลูกค้าหลักยังเป็นคนในประเทศ ส่วนต่างประเทศหากมีการเปิดประเทศและชาวต่างชาติมีความเชื่อมั่น ก็จะกลับมาอย่างแน่นอน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*