คอลลิเออร์สฯเผยภาพรวมตลาดคอนโดฯที่กรุงเทพฯ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/65 พบตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้งทั้งในส่วนอุปทานเปิดขายใหม่ผู้ซื้อ มีเปิดขายใหม่ถึง 16 โครงการ 14,088 ยูนิต  มูลค่าลงทุนรวมกว่า 34,636 ล้านบาท ถือเป็นอุปทานเปิดขายใหม่สูงสุดในรอบ 8 ไตรมาส ระบุอุปทานเปิดขายใหม่ส่วนใหญ่ยังคงขับเคลื่อนด้วยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯมากที่สุดถึง 8,022 ยูนิต หรือคิดเป็นร้อยละ 56.9 มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 24,593 ล้านบาท ส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่รอบใจกลางเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก ในระดับราคาขายต่อตารางเมตรต่ำกว่า 100,000 บาท ด้านไตรมาสที่1/65 ภาพรวมกำลังซื้อกลับมาคึกคักอีกครั้ง อัตราขายเฉลี่ยรวมที่สูงที่สุดในรอบ 13 ไตรมาส บางโครงการสามารถปิดการขายไปมากกว่าร้อยละ 90.0 เนื่องจากระดับราคาที่น่าสนใจ ส่งผลให้ลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยนักลงทุน ให้ความสนใจ สามารถทำกำไรต่อได้ในอนาคต ขณะที่อสังหาฯรายใหญ่ในตลาดฯบางส่วนเลือกใช้วิธี Short Cut ด้วยการเข้า Take Over เป็นการประหยัดเวลา และได้ราคาที่ดีเพื่อนำมาพัฒนาต่อ คาดการณ์ไตรมาส2/65 มีอุปทานใหม่มากกว่า  6,000 ยูนิต โดยเฉพาะระดับราคา 50,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร หรือในทำเลรอบใจกลางเมือง ที่เน้นเรื่องราคา การออกแบบและทำเลเป็นจุดขาย จะได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ
มากกว่า 6 พันยูนิต
นายภัทรชัย ทวีวงศ์  ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึง ภาพรวมอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/2565 ที่ผ่านมาว่า  ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้งทั้งในส่วนของอุปทานเปิดขายใหม่และในฝั่งของผู้ซื้อ ซึ่งพบว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ถึง 16 โครงการ 14,088 ยูนิต  ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 34,636 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 9,960 ยูนิต หรือคิดเป็นร้อยละ  241.3 และพบว่าจากอุปทานที่เปิดขายใหม่ทั้งหมดยังคงเป็นการพัฒนาโดยผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มากที่สุดถึง 8,022 ยูนิตหรือคิดเป็นร้อยละ 56.9  ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 24,593 ล้านบาท และผู้พัฒนานอกตลาดหลักทรัพย์อีก  6,066  ยูนิตหรือคิดเป็นร้อยละ 43.1 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 10,043 ล้านบาท
อุปทาน

สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร  คอลลิเออร์ส ประเทศไทยฯ พบว่า ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ยังคงเดินหน้าประกาศแผนเปิดตัวโครงการใหม่สำหรับปี 2565 กันอย่างคึกคัก และส่วนใหญ่เริ่มทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ตั่งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เช่น บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ NOBLE เปิดขายคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาถึง 4 โครงการ ด้วยจำนวนยูนิตขายใหม่กว่า 3,394 ยูนิต และพบว่าบางโครงการสามารถปิดการขายไปกว่าร้อยละ 70.0 ในช่วงของการพรีเซลเท่านั้น นอกจากนี้พบว่ามีโครงการขนาดใหญ่ที่มียูนิตขายมากกว่า 5,000 ยูนิต คือโครงการรีเจ้นท์ โฮม บางนา ตั้งอยู่บนถนนสรรพาวุธ พัฒนาโดย บริษัท รีเจนท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมากสามารถปิดการขายไปกว่าร้อยละ 90.0 อย่างรวดเร็วในช่วงของการเปิดขายอย่างเป็นทางการเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง กลุ่มลูกค้าให้ความสนใจเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการที่พวกเขามองว่ายังสามารถทำกำไรต่อได้ รวมถึงตั้งอยู่บนทำเลที่ดีและราคาที่น่าสนใจ และพบว่าผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บางส่วน ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในทำเลที่มั่นใจในกำลังซื้อหรือทำเลที่มีลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ชัดเจน เช่น โรงพยาบาลชั้นนำ หรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้น  แต่ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ค่อนข้างระมัดระวังในการกำหนดราคาขายเป็นอย่างมากแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้พัฒนาจะต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนราคาค่าวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าร้อยละ 20.0  เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถปรับราคาขายเพิ่มขึ้นจากเดิมได้มากนัก และพบว่าผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดพยายามมองหาจุดขายใหม่ๆ หรือบริการอื่นๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เช่น เรื่องของการบริการทางการแพทย์ , Pet – Friendly หรือ คอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้ เป็นต้น นอกจากนี้พบว่า ผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯบางส่วนเลือกใช้วิธี Short Cut ด้วยการเข้า Take Over โครงการคอนโดมิเนียมอื่นๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการประหยัดเวลา และได้ราคาที่ดีเพื่อนำมาพัฒนาต่อ

สำหรับอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ผ่านมา พบว่า ผู้พัฒนายังคงเลือกที่จะเปิดขายคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอกมากที่สุดจำนวน 10 โครงการ 5,732 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ  40.7 และตามมาด้วยในพื้นที่บริเวณรอบเมืองด้านทิศตะวันออก (สุขุมวิท, บางนา) จำนวน 1 โครงการ ประมาณ 5,007 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 35.5  และพบว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมายังคงอยู่ในช่วงระดับราคาต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตรมากถึงร้อยละ 69.5  เหมือนในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากผู้พัฒนายังคงเดินหน้าเลือกเปิดตัวโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นนอกที่มั่นใจในกำลังซื้อและมีระดับราคาขายต่อยูนิตไม่สูงมากนักเพื่อกำลังซื้อสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อที่จะสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว  ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร  คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ว่าสำหรับในปี 2565 นี้ ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นนอกหรือในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยเฉพาะช่วงรามคำแหง – ลำสาลี มีนบุรี  รถไฟฟ้าสายสีเหลือง โดยเฉพาะบริเวณถนนลาดพร้าวและศรีนครินทร์ และรถไฟฟ้าสายสีชมพู โดยเฉพาะถนนรามอินทรา และในพื้นที่ทำเล เกษตร-นวมินทร์ รามคำแหง สุขุมวิท เป็นต้น ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่คาดการณ์ว่าจะมีการโครงการคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่อย่างคึกคักในปีนี้

อุปสงค์

 ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา หลายโครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างมาก ส่งผลให้อัตราขายเฉลี่ยรวมของคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 1/2565 ที่ผ่านมาเป็นอัตราขายเฉลี่ยรวมที่สูงที่สุดในรอบ 13 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยพบว่ามีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 62.0 เนื่องจากมีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่บางโครงการทั้งในพื้นที่เมืองชั้นในและในพื้นที่นอกเมืองด้านทิศตะวันออกมีลูกค้าให้ความสนใจเป็นอย่างมาก สามารถปิดการขายไปกว่าร้อยละ 70.0 ในช่วงระยะเวลาของการพรีเซลล์เท่านั้น เนื่องจากระดับราคาที่น่าสนใจ ส่งผลให้ลูกค้าที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจเข้าซื้อเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมองว่าโครงการเหล่านี้ยังสามารถทำกำไรต่อได้ในอนาคต

จากอัตราการขายเฉลี่ยของโครงการคอนมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ที่ผ่านมาโดยภาพรวม ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย มองว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี หลายโครงการสามารถปิดการขายได้ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ และยังคงมีลูกค้าให้ความสนใจเข้าซื้อและเยี่ยมชมโครงการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้พบว่า มีโครงการคอนโดมิเนียมอีกหลายโครงการเช่นเดียวกันในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่ยังไม่เปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการ แต่มีการเปิดให้จองล่วงหน้าก่อนการพรีเซลอย่างเป็นทางการและได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคึกคักของตลาดที่เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทั้งในส่วนของการเปิดตัวโครงการใหม่ และอัตราการขายที่ดีขึ้น ล้วนมาจากปัจจัยบวกทั้งในเรื่องที่การธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนปรนมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) เป็นการชั่วคราว บวกกับมาตรการเปิดประเทศในช่วงปลายปีที่ผ่านมาที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้กำลังซื้อเริ่มกลับมาให้ความสนใจตลาดคอนโดมิเนียมอีกครั้ง ส่งผลให้ภาพรวมตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ตลาดปรับตัวกลับมาคึกคักเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการเปิดตัวโครงการใหม่และอัตราการขายรวมถึงแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ ซึ่งผู้พัฒนามองว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่จะกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่อีกครั้งในปีนี้

สำหรับในช่วงไตรมาสที่  2 ของปีของปี 2565  ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ว่าจะมีอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ อีกมากกว่า 6,000 ยูนิต ซึ่งอาจส่งผลให้อุปทานเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ปรับตัวมาอยู่ที่มากกว่า 20,000 ยูนิต อีกครั้ง และส่วนใหญ่ยังคงกระจายตัวอยู่ในพื้นที่รอบใจกลางเมืองและพื้นที่กรุงเทพฯชั้นนอก ในระดับราคาขายที่ไม่สูงมากโดยเฉพาะในช่วงระดับราคา 50,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร หรือในทำเลรอบใจกลางเมือง ที่เน้นเรื่องราคา การออกแบบและทำเลเป็นจุดขาย เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อ ซึ่งฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย มองว่าตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครและเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญในปีนี้จะกลับมาคึกคักอีกครั้งและหลายโครงการของผู้พัฒนารายใหญ่จะยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีหรือบางโครงการอาจปิดการขายลงในระยะเวลาที่รวดเร็ว

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*