เพอร์เฟค ร่วมทุนเซกิซุย ตั้งบริษัทลูก “พีเอฟ-เซกิซุย เจวี”ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท สัดส่วน 51:49 พัฒนาบ้านเดี่ยวระบบโมดูลาร์ นำร่องโครงการแบรนด์”มาสเตอร์พีซ” 4 ทำเล กรุงเทพกรีฑา,รามคำแหง,แจ้งวัฒนะและรัตนาธิเบศร์ รวม 74 ยูนิต มูลค่า 2,230 ล้านบาท ตอบโจทย์ลูกค้าระดับบน มั่นใจรายได้รวมตามเป้า 20,000 ล้านบาท

 

 

นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน)PF  เปิดเผยว่าในปี 2562 บริษัทมีแผนที่จะขายที่ดินย่านแจ้งวัฒนะและย่านกรุงเทพฯโซนตะวันออก ให้กับ 2 บริษัทร่วมทุน คือฮ่องกงแลนด์ และบริษัทร่วมทุนกับบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี(สิงคโปร์)จำกัด รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

ล่าสุดบริษัทได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด ผู้นำในธุรกิจรับสร้างบ้านของประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท พีเอฟ-เซกิซุย เจวี จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดย PF ถือหุ้นสัดส่วน 51% และเซกิซุยฯ 49% ซึ่งจะร่วมกันพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวที่ก่อสร้างด้วยระบบโมดูลาร์ ในเฟสต่อเนื่องของโครงการแบรนด์มาสเตอร์พีช เบื้องต้นใน 4 โครงการ บนทำเลกรุงเทพกรีฑา, รามคำแหง, แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ จำนวน 74 ยูนิต มูลค่ารวม 2,230 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพให้สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าบ้านระดับบนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีและนวัตกรรม

“การร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการยกระดับมาตรฐานและภาพลักษณ์สินค้าไปสู่ระดับสากล ซึ่งบริษัทดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือกับบริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด ในครั้งนี้    ทั้งนี้บ้านระบบโมดูลาร์ของเซกิซุยฯ เป็นนวัตกรรมที่ส่งตรงมาจากประเทศญี่ปุ่น ได้รับการยอมรับในเรื่องของเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ก้าวหน้า และยกระดับคุณภาพบ้านได้ตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง จึงมั่นใจในการนำบ้านระบบโมดูลาร์มาเสริมความแข็งแกร่ง และเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้ซื้อบ้านในโครงการ โดยบริษัทยังวางเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำในตลาดบ้านหรูระดับบนภายในระยะ 3 ปีข้างหน้า วางเป้าจะมีส่วนแบ่งในตลาดบ้านระดับบน เพิ่มเป็นปีละ 4,000 ล้านบาท  จากปัจจุบันที่มีอยู่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งการร่วมมือกับเซกิซุยฯ ในครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถพัฒนาโครงการได้เร็วขึ้น เพิ่มส่วนแบ่งในตลาดบ้านกลุ่มพรีเมี่ยม” นายชายนิด กล่าว

 

ทั้งนี้คาดว่าผลการดำเนินงานในใตรมาส 3/2561 จะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2561 และไตรมาส 3/2560 เนื่องจากบริษัทเริ่มมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการมากขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2561 และมีรายได้พิเศษเข้ามาจากการขายที่ดินให้กับบริษัทร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ และซูมิโตโม ซึ่งจะทำให้บริษัทฯมีรายได้จากการขายที่ดินเข้ามาอีก 2,000 ล้านบาท  โดยมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 15,000 ล้านบาท และรายได้อื่นๆอีก 5,000 ล้านบาท โดยที่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 4,000 ล้านบาท จากมูลค่า Backlog ทั้งหมดในปัจจุบันที่มี  5,200 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะรับรู้ภายในปี 2562  ขณะที่ยอดขายในครึ่งปีแรกบริษัทสามารถทำได้แล้ว 8,800 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 20-25% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน

 

ด้านนายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ PF กล่าวว่า บริษัทได้ทำการคัดสรรทำเลที่ดินที่เหมาะสม ส่วนการออกแบบบ้านเป็นการทำงานร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยมีให้เลือก 4 แบบ ระดับราคา 25-60 ล้านบาท ขนาดตั้งแต่ 255-475 ตารางเมตร เป็นรูปแบบเฉพาะของโครงการของPF  ที่นำเอาประสบการณ์ในการออกแบบบ้านหรูระดับบนมาผสมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยของญี่ปุ่น สำหรับส่วนประกอบของบ้านที่จะนำมาประกอบเป็นบ้านระบบโมดูลาร์ ดำเนินการผลิตโดย บริษัท เซกิซุย-เอสซีจี อินดัสทรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเซกิซุย เคมิคงล และเอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยโครงสร้างกว่า 80% จะถูกผลิตในโรงงาน ซึ่งจะทำการผลิตโดยส่วนประกอบของบ้านแยกเป็นส่วนๆสำเร็จรูป และประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดจนเรียบร้อย แล้วนำมาติดตั้งที่หน้างาน

 

อย่างไรก็ตามในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 3 โครงการ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ และในช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดตัวอีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียมระดับล่างแบรนด์ไอ-คอนโด 1 โครงการ

 

โดยที่ในปีนี้บริษัทจะเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบระดับบนเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโครงการที่อยู่อาศัย เพราะปัจจุบันลูกค้าระดับบนถือว่ามีความสามารถในการซื้อที่สูงและพึ่งพาสินเชื่อน้อยกว่าลูกค้าระดับล่าง ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในเรื่องการรับรู้รายได้ และมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15,500 ล้านบาท ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทได้ใช้ไปเกือบทั้งหมดแล้ว 2,000-3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปี 2562