ทอสเท็มเดินหน้ารุกธุรกิจประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมสำเร็จรูป ล่าสุดเปิดตัวอะลูมิเนียมรักษ์สิ่งแวดล้อม “PremiAL R100” ซึ่งผลิตมาจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ Net-Zero 2050 เตรียมขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่จัดโชว์เคสในงาน “สถาปนิก’67” ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 30 เม.ย. – 5 พ.ค. 67 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ทอสเท็ม ภายใต้บริษัทลิกซิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าในปี 2567 จะทำยอดขายประตูหน้าต่างเพิ่มขึ้น 20 % จากปีที่แล้วหรือประมาณ 1,000 ล้านบาท พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยแกนหลัก คือ การนำนวัตกรรมสู่ตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “RE-CONNECTING LIVES” หรือการทำธุรกิจเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าเดิม

ล่าสุดได้เปิดนวัตกรรมอะลูมิเนียมรักษ์สิ่งแวดล้อม “PremiAL R100” ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% จากโรงงานทอสเท็ม ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร และได้รับการรับรองจากฉลากสิ่งแวดล้อม EcoLeaf และ JIC Quality Assurance Ltd. โดยมีการตรวจสอบกระบวนการผลิตเพื่อให้แน่ใจว่าใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% และไม่มีอะลูมิเนียมใหม่มาเจือปน

ทั้งนี้การใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 97% เมื่อเทียบกับการถลุงอะลูมิเนียมใหม่ และคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Scope 3 ลงถึง 30% ภายในปี 2574 โดยได้เริ่มจัดจำหน่ายเดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป

โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้า บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการพัฒนาโครงการที่ยั่งยืนและเลือกวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือกลุ่มลูกค้าที่สร้างบ้านเอง แต่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้เพิ่มมากขึ้น พร้อมขยายส่วนแบ่งการตลาดกลุ่ม Upper Mass – Luxury Segment

นอกจากนี้ยังได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจขยาย TOSTEM Studio ที่บริหารโดยตัวแทนจำหน่าย ขยายโชว์รูมให้ครอบคลุมครบทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศเพื่อการเข้าถึงผู้บริโภค โดยเน้นหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว เพื่อขยายตลาดไปจับลูกค้ากลุ่มที่อยู่อาศัย, รีสอร์ท และบริษัทรับสร้างบ้านในพื้นที่ดังกล่าว

โดยขณะนี้ได้เปิด TOSTEM Studio ไปแล้ว 13 แห่ง ในจังหวัดปทุมธานี, พิษณุโลก, อุดรธานี, ขอนแก่น, นครราชสีมา, กรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, สงขลา, กาญจนบุรี, เชียงราย, ชลบุรี, อุบลราชธานี, และนครปฐม ส่วนในปีนี้มีเป้าหมายขยาย TOSTEM Studio ให้ครบ 20 สาขา

และในระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคมนี้ บริษัทจะนำผลิตภัณฑ์ PremiAL R100 ร่วมออกบูธในงานสถาปนิก’67 ครั้งที่ 36 ณ อิมแพค เมืองทองธานี นอกจากนี้ภายในบูธยังมีโซนที่จัดแสดงโชว์สินค้าแบรนด์ REVIA วัสดุปูพื้นทางเดิน จาก LIXIL ที่เริ่มจัดจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งผลิตจากขยะพลาสติกและเศษไม้ นำมาบดย่อยและขึ้นรูปพลาสติก ผสานกับเศษไม้เหลือทิ้งจากการรื้อถอนอาคาร  REVIA  จึงสามารถผลิตจากขยะพลาสติกประเภทต่างๆ ได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพลาสติกใช้ในครัวเรือน พลาสติกเชิงพาณิชย์ แม้กระทั่งพลาสติกผสม หรือแม้แต่พลาสติกที่ลอยในทะเล โดยการนำขยะพลาสติกและเศษไม้มาใช้ประโยชน์ในการผลิต REVIA 1 ตัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 82%

 นอกจากนี้ยังได้ออกแบบบูธด้วยแนวคิด SUSTAINABLE DESIGN โดยวัสดุทั้งหมดประกอบด้วย  อะลูมิเนียม , กระจก , เหล็ก , ไม้อัด OSB , กระดาษลูกฟูก  ซึ่งสามารถย่อยสลายหรือเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ทั้งหมดหลังจากการจัดงาน อาทิ นำเอาเศษแท่งอะลูมิเนียมที่เหลือจากการติดทิ้งส่วนปลายจากโรงงานเอามาเรียงต่อกันเป็นผนังกึ่งทึบกึ่งโปร่งเหมือนกำแพงวัดที่มีบัวยื่นเข้าออก โดยผ่าแนวกลางผนังเพื่อเลื่อนออกจากกันเป็น 2 กำแพง เปิดพื้นที่เป็นคาเฟ่ด้านใน และเข้าสู่พื้นที่จัดแสดงของผลิตภัณฑ์ TOSTEM ที่ได้ขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ GIESTA FamiLock ชุดล็อกระบบดิจิตอลใหม่ล่าสุดสำหรับประตู นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น GRANTS ผลิตภัณฑ์ซีรีส์ใหม่ สำหรับอาคารแนบราบที่ขยายความสูงของประตูบานเลื่อนได้สูงสุด 4.5 เมตร และหน้าต่างบานเปิด สูงสุด 3.5 เมตร เป็นต้น

 สำหรับทิศทางของตลาดก่อสร้างในปีนี้ นายวิชากล่าวว่า ภาพรวมตลาดก่อสร้างอาจจะไม่ได้เติบโตเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากการชะลอตัวของงานก่อสร้างต่างๆมาตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด-19 ทำให้ในปี 2566 มีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดค่อนข้างเยอะ ส่วนปีนี้ประเมินว่าการเปิดตัวโครงการใหม่อาจจะลดลง ทำให้งานก่อสร้างลดลงตามไปด้วย แต่ขณะที่กลุ่มเจ้าของบ้านกลับมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งการการต่อเติม ซ่อมแซมบ้านใหม่

ขณะที่พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจสินค้าประตูหน้าต่างที่มีนวัตรกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นจากการว่าจ้างสถาปนิกออกแบบบ้าน ซึ่งสถาปนิกมักจะเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ มีความคงทนในการใช้งาน ขณะที่กลุ่ม end User ก็สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่างๆได้ง่ายผ่านโซเชียล ทำให้การรับรู้ในการเลือกสินค้าประตูหน้าต่างมีมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการรั่วซึมของน้ำ เสียงลมที่ลอดผ่านช่องประตูหน้าต่าง ขณะที่สินค้าประตูหน้าต่างแบบอะลูมิเนียมรีไซเคิลแม้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นกว่าสินค้าในกลุ่มเดียวกันประมาณ 30% แต่เชื่อว่าในอนาคตหากมีการผลิตสินค้าประตูหน้าต่างแบบอะลูมิเนียมรีไซเคิลเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้ต้นทุนถูกลง

ทั้งนี้กลุ่มทอสเท็มได้เริ่มทำธุรกิจโดยเจาะกลุ่มลูกค้า B2B เป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มโครงการบ้านจัดสรรขนาด 100-200 ยูนิตต่อโครงการ ราคา 5-6 ล้านบาทขึ้นไป หลังจากนั้นได้ขยายฐานลูกค้ามาจับกลุ่มรีเทลประเภทบ้านเดี่ยวที่ต้องการปรับปรุงต่อเติมบ้านใหม้ ทำให้ ณ ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้ากลุ่มรีเทลอยู่ที่ 20-30% มีทั้งกลุ่ม Uper mass,Luxury และ Super luxury ขณะที่โรงงานมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 7,000 ตันต่อเดือนสามารถรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้เต็มที่

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*