ไรมอน แลนด์ฯเปิดแผนปี62 จ่อร่วมทุนพันธมิตรผุดคอนโดฯไฮไรส์ ย่านใจกลางเมือง 2 โครงการ รวมมูลค่า 11,000 ล้านบาท ตั้งเป้า 10 ปี สัดส่วนรายได้จากธุรกิจสร้างรายได้ประจำ-อสังหาฯเพื่อขายแตะ 50:50 เดินหน้ารุกธุรกิจโรงแรม-อาหาร ทั้งใน-ต่างประเทศ ล่าสุดเตรียมกลุ่มธุรกิจการแพทย์เปิดบริการผู้มีบุตรยาก ปักหมุดพื้นที่ในโครงการOCC– ที่ดินย่านเขาใหญ่ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะ 2,500-3,000 ล้านบาท และเป้ารายได้ 5,000 ล้านบาท

 

 

นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า ในปี 2562 บริษัทฯมีแผนที่จะเปิดตัวคอนโดฯไฮไรส์ใหม่ จำนวน 2 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท ในทำเลสุขุมวิท 38 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม “โตเกียว ทาเทโมโนะ”  และพญาไท บนพื้นที่เกือบ 2 ไร่ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนใหม่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  รวมไปถึงจะหันไปเน้นการลงทุนธุรกิจที่เป็นรายได้ประจำ (Recuring Income) มากขึ้น เพราะบริษัทมองว่าแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในส่วนของที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯจะเริ่มเห็นการซบเซาลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้ลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งไทยและต่างชาติชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน ทำให้บริษัทต้องระวังในการลงทุนมากขึ้น ด้วยการปรับตัวและกระจายความเสี่ยง โดยการวางแผนที่จะลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำต่อเนื่องปีละ 3,000-5,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำกับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายใน 10 ปีข้างหน้าไว้ที่ 50:50 จากปัจจุบันอยู่ที่ 5:95 โดยที่ในช่วงแรก คือในปี 2566 สัดส่วนรายได้ประจำกับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจะอยู่ที่ 30:70 หรือมีรายได้รวมอยู่ที่  13,000 ล้านบาท

 

โดยในส่วนของการเพิ่มรายได้ประจำนั้นบริษัทวางแผนลงทุนในธุรกิจโรงแรม ซึ่งจะมีการลงทุน 2 แห่ง ที่เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ และบริหารด้วยตนเอง ซึ่งโรงแรมใหม่ที่จะเปิดในปลายปีนี้เป็นรูปแบบ Food Hotel ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการเดอะ ริเวอร์ ซึ่งเป็นการรีโนเวทอาคารพื้นที่ค้าปลีก Vue บริเวณชั้น 2 และสร้างเพิ่มอีก 1 ชั้น  มาเป็นโรงแรมขนาด  70 ห้อง ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท  จะเปิดให้บริการภายในปลายปี 2562 และอีก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท จำนวน 300 ห้อง เน้นคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัยโดยการใช้เทคโนโลยีมาเป็นการนำเสนอ ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้ และจะเปิดให้บริการในอีก 2 ปี โดยทั้ง 2 โรงแรมมีมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการศึกษาเข้าซื้อโรงแรมในประเทศอีก 1 แห่ง  ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้

 

สำหรับธุรกิจด้านอาหาร และเครื่องดื่ม บริษัทฯยังคงดำเนินงานกับพันธมิตรกลุ่มบ้านหญิง (Baan Ying Group) อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายธุรกิจร้านอาหารต่อยอดจากสาขาที่มีอยู่ในสิงคโปร์ โดยมีแผนที่จะขยาย แฟรนไชส์ร้านอาหารออกสู่ภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ไต้หวัน กัมพูชา และจีน ในปีนี้

 

นอกจากนี้ยังมีแผนจะร่วมทุนกับพันธมิตรจากออสเตรเลียที่ดำเนินธุรกิจด้านธุรกิจการแพทย์ในประเทศจีน ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ มาเปิดสาขาในประเทศไทย 2 แห่ง คือที่โครงการ OCC เพลินจิต เพื่อดำเนินการเป็นศูนย์การแพทย์  ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีความชำนาญทางด้านการทำเด็กหลอดแก้ว ผสมเทียม และการเก็บไข่แช่แข็ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดบริการได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

 

อีกทั้งยังได้ซื้อที่ดินติดโครงการทอสคาน่า วัลเลย์ เขาใหญ่ จำนวน 40 ไร่ เพื่อเป็นศูนย์พักฟื้นจากการรักษาในกทม. โดยบริษัทจะร่วมทุนกับพันธมิตรรายดังกล่าว ด้วยมูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์การดูแลสุขภาพของทุกระดับ ซึ่งภายในโครงการประกอบด้วย คอนโดฯ,โรงแรม,ศูนย์การแพทย์,สปา,ธุรกิจอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

 

โดยสาเหตุที่บริษัทสนใจธุรกิจดังกล่าวมองว่าที่ผ่านมาประชากรจีน จำนวนประมาณ 90 คน อายุระหว่าง 35-45 ปี มีความต้องการบุตรคนที่ 2 แต่ก็มีบุตรที่ยาก ซึ่งการร่วมทุนกับพันธมิตรดังกล่าวนั้นสามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวได้ ซึ่งในปีแรกคาดว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าชาวจีนได้ประมาณ 2,500 คู่ จากศักยภาพของศูนย์การแพทย์ที่รองรับได้ถึง 4,000 คู่ โดยอัตราค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 25,000-35,000 เหรียญสหรัฐ

 

“บริษัทฯตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะทำงานร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการด้านสุขภาพ เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดในการอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพ และจะมีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความนำสมัยมาปรับใช้สำหรับการบริการอย่างดีที่สุด รวมถึงยังมีการสร้าง “ศูนย์สุขภาพการเจริญพันธุ์” เพื่อให้คำปรึกษาด้านการมีบุตร รวมไปถึง “ศูนย์เวชศาสตร์การชะลอวัย” เพื่อรองรับความต้องการของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน”นายไลโอเนล กล่าว

 

ส่วนแหล่งเงินทุนของบริษัทเพื่อรองรับกลรลงทุนในปีนี้นั้นจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน การร่วมทุนกับพันธมิตร และอยู่ระหว่างการพิจารณาออกหุ้นกู้ในปีนี้อีกมูลค่า 2,000 ล้านบาท เพื่อมารองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตามในปี 2562 นี้ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,500-3,000 ล้านบาท และเป้ารายได้ ตั้งไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม  ธุรกิจร้านอาหาร และรายได้จากธุรกิจโรงแรมใหม่ที่จะเปิดภายในปลายปีนี้ โดยที่บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2562 จะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ เพราะในปีนี้บริษัทมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมเข้ามาเป็นจำนวนมาก ได้แก่ เดอะ ลอฟท์ สีลม, เดอะ ลอฟท์ อโศก, เดอะ ลอฟท์ สาทร และเดอะ ดิโพลแมท สาทร ซึ่งจะมีการทยอยโอนจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปีนี้ 30% จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 11,000 ล้านบาท และยังมีรายได้จากธุรกิจอาหารเข้ามาเต็มปี และในช่วงปลายปีมีรายได้จากโรงแรมใหม่ย่านเจริญนครเข้ามาหนุนผลการดำเนินงาน