แสนสิริฯเผยเทรนด์ออกแบบบ้านปี61 เน้นรูปแบบ Customizeตอบรับไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่หลากหลาย ระบุผู้ประกอบการรายใหม่ต้องปรับตัวรับกระแสการแข่งขัน ด้าน”บุราสิริพัฒนาการ”หลังเปิดพรีเซลเพียง 1 เดือน ยอดขายพุ่งแล้ว50% สะท้อนกำลังซื้อบ้านหรูยังมีสูง

 

 

นายชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI เปิดเผยถึงเทรนด์การออกแบบบ้านในปี2561 ว่า ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันจะมีความต้องการที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นการออกแบบบ้านจะเป็นในรูปแบบของCustomize มากขึ้น เช่น บางคนมีความต้องการแบบรีสอร์ท บางรายต้องการบ้านที่มีสังคมมากๆ ดังนั้นการออกแบบบ้านจะเป็น Mass  Customization ที่มีจำนวนมากๆ เพื่อตอบรับสไตล์ของลูกค้า เพราะปัจจุบันลูกค้ามีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่หลากหลาย มีการเดินทางและทำให้เห็นรูปแบบการดีไซน์ที่มากขึ้น

 

สำหรับการแข่งขันด้านการดีไซน์ในปีนี้ผู้ประกอบการก็ต้องพยายามปรับตัวให้สามารถสร้างสินค้าให้ตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากขึ้น ฟังก์ชันพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านจะต้องมีการCustomize ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่ต้องพยายามดีไซน์บ้านเพื่อสร้างความแตกต่างและแข่งขันกับรายใหญ่ได้

 

สำหรับแบรนด์บ้านเดี่ยวของแสนสิริก็จะมีการแบ่งแยกให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซกเมนต์ โดยบ้านของแสนสิริทุกโครงการแม้ว่าจะเป็นแบรนด์เดียวกัน แต่ทุกโครงการจะมีดีไซน์ที่ต่างกันไปปัจจุบันแสนสิริ มีบ้านเดี่ยวทั้งหมด 6 แบรนด์ ได้แก่ บ้านแสนสิริ  เป็นบ้านที่ถูกคัดสรรความสมบูรณ์แบบทุกเรื่องมาประกอบกัน  ระดับราคาตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ,นาราสิริ เน้นความหรูหรา พิถีพิถัน ราคาตั้งแต่ 30-80 ล้านบาท ,เศรษฐสิริ เหมาะเป็นบ้านของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต  ราคาตั้งแต่ 8-25 ล้านบาท ,บุราสิริ เป็นแบรนด์ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ต้องการการพักผ่อน ราคาเริ่มต้นที่ 7-22 ล้านบาท ,สราญสิริ เน้นความเป็นครอบครัว เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้ร่วมกันได้ ราคาเริ่มต้นที่ 5 ล้านบาทขึ้นไป และคณาสิริ เหมาะสำหรับครอบครัวที่เพิ่งเริ่มต้น ราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ 3ล้านบาทขึ้นไป

 

สำหรับโครงการ “บุราสิริ พัฒนาการ”ตั้งอยู่บนพื้นที่ 55 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 75-150 ตารางวา ราคาตั้งแต่ 14.39-28 ล้านบาท จำนวน 162 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท โดยเปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 24-25 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยระยะเวลาเพียง1 เดือนสามารถทำยอดขายได้แล้ว 40 ยูนิตหรือประมาณ 50% ของเฟสแรก ถือว่าเป็นกระแสตอบรับที่ดี สะท้อนว่ากลุ่มลูกค้าในย่านดังกล่าวยังมีกำลังซื้อสูง