SENA กางผลงานครึ่งปีแรก 2561 กำไรสะพรั่ง 389.8 ล้านบาท โต 146.6%ฟันยอดขาย 6 เดือน 4,296 ล้านบาท มั่นใจดีมานด์ตลาดอสังหาฯระดับกลางถึงไฮเอนด์ตอบรับดี เผยครึ่งปีหลังจ่อเปิดโครงการใหม่สินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมพรีเมี่ยม-บ้านเดี่ยว รวม 12 โครงการ รวมมูลค่า 16,000 – 17,000ล้านบาท มั่นใจยอดขายและยอดรับรู้รายได้ตามเป้า

นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง เปิดเผยถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้น จากปัจจัยบวก อาทิ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่ มากโดยเฉพาะตลาดระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ ซึ่งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมจะเป็ นตัวชี้วัดให้เห็นถึงกำลังซื้ อที่ยังคงมีอยู่ของสินค้าระดั บกลางบนได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษั ทในไตรมาส2/2561 บริษัทมีรายได้รวม 1,734 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 551.3 ล้านบาท คิดเป็น 46.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,182.7 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่225.2 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 137.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 157.7%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560  สำหรับรายได้จากการขายที่อยู่ อาศัยในไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 1,596.9 ล้านบาท โตเพิ่ม 524.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 48.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้ 1,072.3  ล้านบาท อันเนื่องมาจากการรับรู้รายได้ จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น ทำให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษั ทในครึ่งปีแรกนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

 

โดยผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2561 นั้น ทางเสนาฯมีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ โดยสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ แนวสูง และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 2,822.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 1,151.9 ล้านบาท คิดเป็น 69% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้รวม 1,670.5 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 146.6%  หรือ 389.8 ล้านบาท คิดเป็น 13.8% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 231.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ซึ่งมีกำไรสุทธิ158.1 ล้านบาท ส่วนยอดขายในช่วง 6เดือนแรก (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561) บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 4,296 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากบริษัทฯ ยังคงรักษาระดับการขายในปัจจุบันได้เชื่อมั่นว่ าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

 

ทั้งนี้ในส่วนของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ รวมทั้งสิ้น 2,493.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,051.7 ล้านบาท คิดเป็น 72.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1,441.7 ล้านบาท ซึ่งมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรมสิทธิ์คอนโดมิเนี ยมและโครงการบ้านที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย โครงการ นิช ไอดี บางแค เฟส 2  ,โครงการ นิช ไอดี พระราม2 เฟส 2 ,โครงการ นิช ไอดี สุขุมวิท 113 ,โครงการ นิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี ,โครงการ นิช โมโน สุขุมวิท 50 ,โครงการ เดอะ คิทท์ ไลท์ บางกะดี และ โครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 เป็นต้น

 

นอกจากนี้ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์ โครงการแนวราบมาอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ได้แก่ โครงการเสนา พาร์ค แกรนด์ รามอินทรา ,โครงการ เสนา พาร์ค วิลล์ วงแหวนฯ – รามอินทรา ,โครงการ เสนา วิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 และโครงการ เสนา ทาวน์ รามอินทรา เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทยังมีรายได้ จากธุรกิจการให้เช่าและบริการในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 278.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปี 2560 ซึ่งมีรายได้จากค่าเช่าและบริการ 154.7 ล้านบาท ส่วนธุรกิจบริการติดตั้ งแผงโซลาร์เซลล์ช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 8.4 ล้านบาท ลดลง 31.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 79.2%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 40.3 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ บริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้ รายได้จากการโอน(Backlog) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มูลค่า 7,133.89 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน 2 โครงการประกอบด้วย นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ และ นิช โมโน สุขุมวิท– แบริ่ง)

 

อย่างไรก็ตามจากผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 คณะกรรมการบริษัทฯจึงมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.109757 บาท และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่12 กันยายน 2561

 

ส่วนแผนธุรกิจของบริษัทฯในปี 2561 นั้นพร้อมเดินหน้ามุ่งมั่นสู่“ Growth Hormone2018” โดยตั้งเป้ายอดขาย  10,300 ล้านบาท และเป้ารายได้ 6,200 ล้านบาท เติบโต 20 % จากปีก่อน ซึ่งจะมาจากการเปิดตัวโครงใหม่ ทั้งสิ้น 17 โครงการ รวมเป็นมูลค่า 23,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกเปิด 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,527 ล้านบาท และช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดอีก 12 โครงการทั้ งโครงการแนวราบและแนวสูงบททำเลศักยภาพ รวมมูลค่า 16,000 – 17,000 ล้านบาท