ที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯทั้งรายใหญ่ รายกลาง เริ่มนำเทคโนโลยีในหลายๆด้านมาใช้กับที่อยู่อาศัยมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และนับวันจะยิ่งมีเทคโนโลยีเทรนด์ใหม่ๆมาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Internet of Things (IoT)/Smart sensors/Smart devices ยังเป็นเทคโนโลยีที่จะฉลาดขึ้นมากและถูกลงอย่างรวดเร็ว มีอิทธิพลสำคัญเพื่อช่วยเรื่องการบริหารการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพและลดความผิดพลาดมากขึ้น ยิ่งในปี 2563 นี้จะมีการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 5G ก็จะยิ่งส่งผลให้มีการผลิต Gadget และ Device ที่ทันสมัยออกมามากยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วต้องติดตามนำมาประยุกต์

ซึ่งบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI ถือเป็นบริษัทอสังหาฯรายแรกๆที่ให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยีกับที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง โดย

ดรทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล  SIRI เปิดเผยว่า    เทรนด์เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในธุรกิจอสังหาฯในปี 2563 จะเป็นในรูปแบบเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้องค์กรสร้าง innovation ใหม่ๆ ได้เร็ว และเป็นเทคโนโลยีที่สร้างคุณค่าให้ลูกค้าจับต้องได้จริงๆ เช่น เรื่องเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกสบาย หรือช่วยลดค่าใช้จ่าย เพราะเทคโนโลยีจะทำให้การออกแบบบ้าน และนำเสนอ functions การใช้งานจะเปลี่ยนไป เปรียบเทียบกับรถยนต์ 10 ปีที่แล้ว ที่ไม่เคยมีระบบ GPS หรือจอ monitor สำหรับการควบคุมต่างๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆเช่น การขับได้เองหรือการสั่งด้วยเสียง แต่ปัจจุบันรถคันไหนไม่มีไม่ได้ สำหรับการพัฒนาอสังหาก็จะเหมือนกัน แต่จะใช้เวลาสั้นกว่า 10 ปีในการพัฒนา จาก home automation เป็น smart home ที่ใช้งานได้ง่าย และมี functions ที่อำนวยความสะดวกในชีวิตจริงๆ

ในด้านการขายหรือ business model ใหม่ๆเพื่อการหาซื้อปล่อยเช่าก็จะมีรูปแบบใหม่ๆมากขึ้นผ่าน online เหมือนในต่างประเทศเช่น Zillow หรือ Opendoor หรือ social network สำหรับธุรกิจอสังหาฯจะมีความนิยมมากขึ้น ผู้บริโภค expect การเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ทำ researchเองมากขึ้น หรือพร้อมตัดสินใจเองได้เลย

นอกจากนี้ Internet of Things (IoT)/Smart sensors/Smart devices ยังเป็นเทคโนโลยีที่จะฉลาดขึ้นมากและถูกลงอย่างรวดเร็ว มีอิทธิพลสำคัญเพื่อช่วยเรื่องการบริหารการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพและลดความผิดพลาด ในเรื่องการอยู่อาศัย ผู้บริโภคจะยอมรับการใช้งานมากขึ้นเพราะมีการพัฒนาใช้งานง่ายและราคาถูกลง เป็นที่แพร่หลาย เรื่องการดูแล facility management ก็จะทำให้มีประสิทธิภาพและเพิ่มเรื่องการรักษาความปลอดภัย

อีกทั้งเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการบริหารและใช้ big data ยังเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่ง data จาก IoT จะมีมากขึ้น การเก็บ บริหารและวิเคราะห์ต้องการ technology สมัยใหม่ เช่น Cloud

– face recognition เพื่อความปลอดภัยจะมียอมรับและใช้งานมากขึ้น

-AI จะเริ่มมีการนำมาประยุกต์ใช้จริงมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง security

– AR/VR/MR ยังมีการใช้งานอยู่ แต่หลักๆยังอยู่ในส่วนการออกแบบ อาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีเพื่อสร้าง experience ที่ดีได้เพื่อนำมาใช้กับผู้ิบริโภค

“เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ผู้ประกอบการต้องคอยติดตามว่ามีอะไรใหม่ๆออกมา สามารถนำไปประยุกต์หรือสร้าง innovation อย่างไร มีวิธีในการทดลองใช้ก่อนเพื่อเรียนรู้ว่าเหมาะไม่เหมาะอย่างไร เพื่อการตัดสินใจเลือกใช้ในเวลาและการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งองค์กรต้องใช้โครงสร้างและ mindset ใหม่ในการบริหาร และมั่นใจว่าเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่ยังไม่ใช่ factor หลักในการตัดสินใจของผู้บริโภค และจะมีผลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่เน้นเรื่องการรักษาความปลอดภัย โดยเทคโนโลยีที่นำมาใช้เพิ่มความปลอดภัย เช่น Digital Fence, Smart Visitor Management system, Analytic CCTV, Face Recognition จะได้รับความสนใจจากลูกค้ามากที่สุด”ดร.ทวิชา กล่าว

อย่างไรก็ตามในปี 2563 แสนสิริฯจะมีการนำเทคโนโลยี Security platform เป็น platform ที่ใช้เทคโนโลยีหลายๆด้านเพื่อเป็นการป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Preventive and protection) การ automate การแจ้งเตือนไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำงานร่วมกับ Liv24 และ digitize การทำงานของเจ้าหน้าที่รปภ. โดยFace recognition และ Analytic CCTV จะเป็น standard เพื่อการรักษาความปลอดภัย

Intelligent facility management platform เพื่อให้การให้บริการที่อยู่อาศัยสมบูรณ์มากขึ้น โดยใช้ AI และ IoT ทำงานร่วมกันและเชื่อมต่อกับ Home Service App

Smart home/ Smart building ยังพัฒนาต่อเนื่องโดย เน้นการนำ technology แบบ Self-service และ Autonomous มาใช้งานมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกบ้านที่อยากจัดการทุกๆอย่างได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องรอนิติบุคลอาคารชุดหรือบ้านจัดสรร  สามารถเห้นและรับทราบข้อมูลต่างๆแบบ real time หรือในเวลาที่เหมาะสม ผ่าน home service app และ digital kiosk ในส่วนกลาง

คลื่น5Gช่วยดันเทคโนโลยีสมัยใหม่รองรับ

นายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชนหรือ ORI กล่าวว่า เทรนด์เทคโนโลยีอสังหาฯสำหรับปี 2563 ที่ะนำมาใช้กับที่อยู่อาศัยคือ เทคโนโลยีกลุ่ม Internet of Things (IoT)  เช่น ระบบสั่งการอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชั่น จะได้รับการนำมาใช้ในธุรกิจอสังหาฯปี 2563 อย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากในช่วงต้นปี 2563 ประเทศไทยจะมีการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 5G ส่งผลให้มีการผลิต Gadget และ Device ที่ทันสมัยออกมามากยิ่งขึ้น กลายเป็นสิ่งที่โครงการที่อยู่อาศัยระดับกลางขึ้นไปแทบทุกแห่งต้องมี โครงการไหนไม่พร้อมรองรับ ก็จะเสียตลาดให้คู่แข่งไป โดยปัจจุบัน เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในหลากหลายด้าน ได้แก่

อิทธิพลต่อด้านการก่อสร้าง ช่วยให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็วและควบคุมคุณภาพได้ดีมากขึ้น เช่น เทคโนโลยีพรีคาสท์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้ออุปกรณ์ก่อสร้าง ปัจจุบัน มีสตาร์ทอัพรายใหญ่ที่เข้ามาทำด้าน Construction Tech จนได้รับความนิยมแล้ว

อิทธิพลต่อด้านการพัฒนาฟังก์ชั่นของโปรดักส์ เนื่องจากผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับสมาร์ทโฟนและ Device ต่างๆ มากขึ้น สินค้าทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรจึงจำเป็นต้องมีฟังก์ชั่นที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น มี USB Outlet สำหรับพร้อมให้เชื่อมต่อทุกจุดสำคัญภายในบ้าน มี Living Tech เช่น อุปกรณ์ IoT รองรับการสั่งการในห้องพักผ่านแอปพลิเคชั่น มี Smart Mirror ช่วยเติมเต็มชีวิต เช็กเรื่องราวต่างๆ รอบตัวได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ส่วนกลาง ก็ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น Smart Shelter ที่มีตัววัดคุณภาพอากาศ มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ สามารถใช้ชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบัน ออริจิ้น ได้นำฟังก์ชั่นเหล่านี้มาปรับใช้กับโครงการแบรนด์ต่างๆ ทั้ง บริทาเนีย (Britania) ดิ ออริจิ้น (The Origin) พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) ไปจนถึงออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ (Origin Smart City) แล้ว

อิทธิพลต่อด้านการขาย ในระยะหลัง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเปิดจองและขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เช่น การเปิดลงทะเบียนให้รับสิทธิพิเศษ ไปจนถึงจองผ่านช่องทางออนไลน์ ล่าสุด ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มบุกตลาด e-Market Place เปิดให้จองคอนโดมิเนียมในราคาพิเศษ สำหรับออริจิ้นเอง ได้จับมือกับทั้ง Shopee และ Lazada เปิด Official Store เพื่อให้ลูกค้ามีช่องทางการจองใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแล้วเช่นกัน โดยได้รับการตอบรับที่ดี

อิทธิพลต่อด้านการพัฒนาบริการหลังการขาย ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็หันมาพึ่งพาเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงาน Customer Relationship Management (CRM) งานที่เกี่ยวข้องนิติบุคคล แม่บ้าน ฯลฯ โดยออริจิ้น มีแอปพลิเคชั่น ออริจิ้น คอนเน็คท์ ให้ลูกบ้านสามารถติดต่อกับนิติบุคคลโครงการและทำธุรกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยได้

ส่วนเทคโนโลยีจะยังไม่มีผลให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ทันที เนื่องจากปัจจัยที่สำคัญที่สุดของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ยังคงเป็นเรื่อง ทำเล ตามด้วยระดับราคา คุณภาพของโครงการ แต่เทคโนโลยีก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญ สำหรับประกอบการตัดสินใจ ซึ่งในมุมของลูกค้าที่เข้าใจเรื่องราวของเทคโนโลยี ก็จะดูในหลายประเด็น ซึ่งไม่ใช่แค่ความน่าสนใจเพียงอย่างเดียวแต่จะคำนึงถึงอรรถประโยชน์และการบำรุงรักษาต่อไปในอนาคตด้วยเช่นกัน ดังนั้น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงต้องมีความละเอียดและคัดสรรเลือกใช้เทคโนโลยีในแต่ละโครงการและตามช่วงเวลาอย่างเหมาะสม

“เทรนด์การใช้ชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่หันมาสนใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ดังนั้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่นำมาใส่ในสินค้าของออริจิ้น จะเป็นไปในรูปแบบของ Health Tech และ Sport Tech โดยจะมีการสอดแทรกเพิ่มเติมไปในพื้นที่ส่วนกลาง สิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) ต่างๆ ในหลากหลายรูปแบบ โดยเทคโนโลยีมีการพัฒนาที่รวดเร็วและตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงคำนึงถึงสิ่งที่จะตอบรับกับความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค จากการที่ศึกษาและเรียนรู้ โดยเข้าถึงความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) กลุ่มลูกค้ามาโดยตลอด   ทำให้เราสามารถสร้างความสมดุลในการเติมเทคโนโลยี ระหว่าง ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ ลงในไปสินค้าได้อย่างเหมาะสม เป็นผลให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานในแต่ละสินค้าของออริจิ้น จึงได้รับการตอบรับและตรงใจลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง” นายสมสกุล กล่าวในที่สุด

ชิมลางนำระบบบ Robotic Constructionก่อสร้างพื้นที่ส่วนกลาง

นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้นำระบบ Robotic Construction มาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรก ด้วยการใช้หุ่นยนต์มาออกแบบการก่อสร้าง เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นดีไซน์ที่ล้ำหน้า ตื่นตาตื่นใจ ซึ่งระบบดังกล่าวในต่างประเทศใช้กันมาแล้วเกือบ 10 ปี ซึ่งบริษัทฯมองว่าปัจจุบันเข้าสู่ยุคดิจิทัล จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจอสังหาฯจะต้องมีการปรับตัว จึงได้เริ่มนำระบบดังกล่าวมาใช้ในการก่อสร้างพื้นที่ส่วนกลางของ Real Square  ในรูปแบบ  Sculpture หรือ  pavilion” ในโครงการ “เซนส์ บางนา – สุวรรณภูมิ  ซึ่งพัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮมและบ้านแฝด มูลค่าโครงการ 810 ล้านบาท เป็นโครงการแรก โดยใช้พื้นที่ 30 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 1 ล้านบาท  เชื่อว่าระบบดังกล่าวจะเข้ามาเปลี่ยนเปลงวงการอสังหาริมทรัพย์ภายในอีก 5-10 ปีข้างหน้าแน่นอน

ด้านนายนรพัทธ์ หัตถกรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน เริ่มมีความต้องการในสิ่งที่เฉพาะเจาะจง พอเหมาะพอดีกับตัวมากขึ้น จะดีมากหากได้ใส่แนวคิด หรือความต้องการของตัวเอง และได้มีส่วนร่วมในการผลิตหรือสร้างชิ้นงานอะไรซักอย่างที่เป็นการสื่อว่า ตัวเองได้มีส่วนร่วมในสิ่งนั้น ๆ จากแนวคิดและความสร้างสรรค์ของตนเอง ดังนั้นอุตสาหกรรมที่มีการผลิตแบบ Mass Production อาจจำเป็นต้องมีการปรับตัว

“บ้าน” ก็เป็นอีกปัจจัยหลักที่มนุษย์ส่วนใหญ่จำเป็นต้องพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วนในการซื้อบ้านมาเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าความต้องการของมนุษย์แต่ละคน แต่ละครอบครัว มีความแตกต่างกัน บางคนชอบห้องนอนใหญ่ ๆ บางคนชอบใช้ชีวิตในห้องน้ำ บางคนชอบนอนเอกเขนกในห้องนั่งเล่น แต่ด้วยข้อจำกัดของการผลิตบ้านจัดสรรในปัจจุบัน ที่จำเป็นต้องควบคุม ปริมาณ ต้นทุน เวลาการก่อสร้าง และคุณภาพการก่อสร้าง รูปแบบบ้านที่จำเป็นต้องทำออกมาในรูปแบบที่ซ้ำ ๆ กัน จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของบ้านยุค Genใหม่ ๆ ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของแต่ละบุคคลหรือแต่ละครอบครัว” นายนรพัทธ์กล่าว

ดังนั้น Generative Design จึงเป็นอีกเครื่องมือ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างทางเลือกจากความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยการระบุโจทย์หรือใส่เงื่อนไขที่ต้องการเข้าไปให้ Software ก็สามารถ Generate หรือทำหน้าที่สร้างทางเลือกจำลองให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสการใช้ชีวิตที่เฉพาะเจาะจง พอเหมาะกับตัวเองได้หลากหลายทางเลือก ซึ่งแตกต่างจากการออกแบบด้วยมนุษย์ที่ใช้เวลา ต้นทุน และคุณภาพที่มากกว่า

โดยRobotic Construction เป็นรูปแบบการก่อสร้างที่ใช้หุ่นยนต์มาช่วยสร้างองค์ประกอบอาคารบางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อให้การก่อสร้างมีความถูกต้องแม่นยำ ตามรูปแบบที่ถูก Generate ผ่าน Software โดยเฉพาะสำหรับสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองการใช้สอยที่มีความเฉพาะของแต่ละบุคคลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา และจีน ได้มีการใช้หุ่นยนต์ในการก่อสร้างบ้านแล้ว สามารถสร้างเสร็จได้ภายใน 1-2 วัน ในราคาต้นทุนที่ต่ำกว่าการก่อสร้างแบบสมัยปัจจุบันหลายเท่า หุ่นยนต์จะเป็นในลักษณะเหมือน 3D Printing ที่ใช้แขนหุ่นบีบคอนกรีตเป็นชั้นๆ แล้วสร้างเป็นรูปร่างของบ้านตามที่ออกแบบโดยแทบไม่ต้องใช้แรงงานคนในการก่อสร้าง

“Real Asset จึงมองเห็นโอกาสในการพัฒนารูปแบบการอยู่อาศัยที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด จึงได้ริเริ่มในการศึกษาและพัฒนาการออกแบบอาคารด้วย Generative Design และการก่อสร้างแบบ Robotic Construction ที่เป็นไปได้ว่าในอนาคตมนุษย์อาจจะสามารถสร้างที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกับตัวเองได้ เพียงแค่ใส่ข้อมูล เงื่อนไขและความต้องการ ลงไปใน House Design Platform และ Generate รูปแบบบ้าน พร้อมกับRobot จะสามารถสร้างบ้านให้ลูกค้าได้ภายในไม่กี่วัน หรือไม่กี่ชั่วโมง ง่ายเสมือน หยอดเหรียญซื้อเครื่องดื่มตามเครื่องVending Machine โดยอาจถือได้ว่าเป็นการปฎิวัตินวัตกรรมการก่อสร้างรูปแบบใหม่จะกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต” นายนรพัทธ์ กล่าวในที่สุด

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*