แสนสิริฯ ต่อยอดผู้นำนวัตกรรมที่อยู่อาศัย ดึง 4 เทคโนโลยีด้านงานก่อสร้าง-ขายโครงการ เสริมความแข็งแกร่ง หวังอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้าน ปลายปี’63 เตรียมส่งมอบอีก 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 26,000  ล้านบาท ระบุลงทุนด้านเทคโนโลยีไปแล้ว 50% จากงบรวม 1,500 ล้านบาท อนาคตเสริมลงทุนสร้างรายได้บริษัทต่อเนื่อง
นายอุทัย อุทัยแสงสุข
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริจำกัด(มหาชน)หรือ SIRI เปิดเผยว่า ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีต่างๆที่หลากหลายกับองค์กรของแสนสิริฯซึ่งได้เร่ิมดำเนินการเมื่อกว่า 3 ปีที่ผ่านมา  โดยภาพรวมความสำเร็จที่ผ่านมา และความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีมาเสริมแกร่งการทำงาน เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีของครอบครัวแสนสิริ ซึ่ง LIV-24 ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ (Security  Monitoring) และการบริหารโครงการแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Preventive Maintenance) โดยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 ถึงกรกฎาคม 2563 นวัตกรรม LIV-24 สามารถตรวจจับเหตุการณ์ที่ไม่ปกติภายในโครงการที่ดูแลทั้งหมด 38 โครงการ ด้วย CCTV ซึ่งเข้าแก้ไขได้ทันท่วงที 942 ครั้ง และแจ้งเตือนการบำรุงรักษา      เชิงป้องกันของระบบต่าง  ในอาคารด้วยเทคโนโลยี IoT ก่อนที่จะชำรุด 57 ครั้ง ซึ่งช่วยยับยั้งการสูญเสียค่าซ่อมแซมได้มากกว่า 2 ล้านบาท  ส่วนในด้านการพัฒนาโปรดักส์  บริษัทฯได้เปิดตัว Sansiri Smart Home บ้านสั่งการด้วยเสียงบน Google Assistant ที่โครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 และทวีวัฒนา โดยฟังก์ชั่นที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติและครอบครัวคนรุ่นใหม่ ได้แก่ การสั่งการด้วยเสียงเพื่อเปิดปิดม่านและ Smart Display เพื่อการสั่งการด้วยเสียงกับระบบสมาร์ทโฮมอื่น 

 

นอกจากการพัฒนา Sansiri Total Project Management Solutions แผนงานด้านเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาโครงการของแสนสิริในอนาคต  บริษัทฯยังได้เดินหน้าพัฒนา Sansiri Total Project Management Solutions ต่อยอดการใช้งานจากPrimavera เพื่อยกระดับมาตรฐานการควบคุม ‘Time-Cost-Quality’ อย่างเต็มศักยภาพให้โครงการมีคุณภาพและสำเร็จเป็นไปตามระยะเวลา รวมทั้งต้นทุนที่วางแผนไว้ ด้วยการเชื่อมต่อทุกมิติของการพัฒนาโครงการ เพื่อการจัดการที่มีประสิทธิภาพบนแพลตฟอร์มเดียว ตั้งแต่ การสร้างสัญญาจ้างสัญญาก่อสร้างการประมาณการต้นทุน,    การจัดการผลิตของโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (PCF), การจัดซื้อวัสดุก่อสร้างการรายความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการตามรายการ เมื่อพร้อมเข้าตรวจเพื่อควบคุมคุณภาพ (QC) โครงการ

ล่าสุดได้ขยายเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านใน 4 ด้าน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแสนสิริฯ ได้แก่

1.มุ่งส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ด้วยการนำเทคโนโลยียกระดับมาตรฐานการควบคุม “Time-Cost-Quality”ได้แก่ BIM (Building Information Modeling) แพลตฟอร์มสร้างแบบจำลองเสมือนจริงของที่อยู่อาศัยอย่างแม่นยำ, Primavera แพลตฟอร์มควบคุมไทม์ไลน์การพัฒนาโครงการ และ StructionSite แพลตฟอร์ม AI เก็บข้อมูลไซต์ก่อสร้างแบบละเอียด 360 องศา

โดยการใช้งาน BIM ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบันนี้ จะช่วยยกระดับการควบคุมคุณภาพระหว่างงานก่อสร้าง โดยบริษัทฯได้นำ StructionSite สตาร์ทอัพด้านConsTech (Construction Tech) ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศสหรัฐอเมริกา นำ AI มาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบจากวิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้าง และเก็บข้อมูลไซต์ก่อสร้างแบบละเอียด 360 องศาสามารถออกแบบสร้างแบบจำลองเสมือนจริงของอาคารที่แม่นยำ ทำให้ลดข้อผิดพลาดเพื่อการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนด ,ควบคุมคุณภาพแบบก่อนก่อสร้าง และแบบเสมือนจริงช่วยลดความเสียหายอันนำไปสู่การเสียค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่บริษัทสามารถก่อสร้างคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมที่รวดเร็วมากขึ้น โดยที่ระยะเวลาการก่อสร้างคอนโดมิเนียมของบริษัทลดลงจาก 24 เดือน เป็น 22 เดือน และโครงการบ้านแนวราบระยะเวลาการสร้างลดลงจาก 12 เดือนเป็น 6 เดือน อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการผิดพลาดของงานก่อสร้างลงได้ 50%

จากปัจจัยของการนำเทคโนโลยีมาช่วยในงานก่อสร้างนั้นช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการก่อสร้างลงได้ 5% ซึ่งต้นทุนก่อสร้างคิดเป็นต้นทุนของการพัฒนาโครงการค่อนข้างมากถึง 50% เมื่อบริษัทสามารถลดต้นทุนการก่อสร้างลงได้ 5% ช่วยให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นได้ และส่งผลบวกต่อราคาขายโครงการที่บริษัทสามารถปรับลดลงมาได้เช่นกัน ซึ่งจะพร้อมใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในปี 2564  ซึ่งนำร่องใช้งานแล้วที่ “เดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค” และ เดอะ เบส เพชรบุรีทองหล่อ

2.การดูแลลูกค้าตั้งแต่ก้าวแรกและครอบคลุมทุกช่วงการอยู่อาศัย ผ่าน Salesforce แพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) อันดับ 1 ของโลก, LIV-24 บริการดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง       แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย และ Sansiri Home Service Application กับ 4 ฟีเจอร์ใหม่ได้แก่ Community Hub พื้นที่สำหรับการสื่อสารโดยการตั้งกระทู้และแชร์กิจกรรมของลูกบ้าน, Market Place พื้นที่ซื้อขายสินค้าของลูกบ้านและฟังก์ชั่น    การจองจ่ายสถานนี EV Charger ของ SHARGE กว่า 200 จุด รวมทั้งการจองเข้าใช้บริการพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งได้นำร่องแล้วที่ “เอ็กซ์ที เอกมัย”

3.เปิดประสบการณ์เยี่ยมชมโครงการและห้องตัวอย่างเสมือนจริงได้ง่ายไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหน กับ Nodalview โซลูชั่นสร้าง Virtual Sales Gallery ผ่านสมาร์ทโฟนได้ง่ายเพียงไม่กี่วินาที พร้อมแพลตฟอร์มที่เอื้อให้พนักงานพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง

 4.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในด้านการจัดซื้อจัดจ้างกับคู่ค้าที่มีความโปร่งใสรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น  ด้วยเทคโนโลยี B2P (Blockchain Solution for Procure-to-Pay) จาก Digital Ventures

แสนสิริ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพสู่ลูกค้า พร้อมนำเทคโนโลยีมาเป็นฟันเฟือนสำคัญในการพัฒนาโครงการ โดยตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เทคโนโลยีเป็น 1 ในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้งานก่อสร้างสำเร็จตามกำหนด100% โดยเตรียมพร้อมส่งมอบ 14 โครงการคุณภาพ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ภายในสิ้นปีนี้ รวมมูลค่าโครงการกว่า 26,000     ล้านบาท ล่าสุดเตรียมส่งมอบ 2 โครงการคอนโดฯ ในเดือนกันยายนนี้ ได้แก่ โอกะ เฮาส์ (oka HAUS) มูลค่า3,600 ล้านบาท และ เอ็กซ์ที เอกมัย  (XT EKKAMAI)มูลค่า 8,000 ล้านบาทนายอุทัย  กล่าวในที่สุด

นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์

ด้านนายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทในเครือ SIRI กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้ใช้งบลงทุนไปแล้ว 50% ของงบลงทุนที่ได้รับการอนุมัติมาเมื่อในปี 2561 จำนวน 1,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานของแสนสิริและช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านของแสนสิริเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเสริมประสิทธิภาพของ Home Automation ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นในการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านของแสนสิริ โดยปัจจุบันมีลูกบ้านของแสนสิริที่ใช้แอปพลิเคชั่นดังกล่าว50,000 ราย จากจำนวนลูกบ้านทั้งหมด 120,000 ราย

นอกจากนี้ในปี 2564 บริษัทฯจะผลักดันเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาเข้าไปลงทุนให้เริ่มสร้างรายได้ให้กับบริษัท จากปัจจุบันที่บริษัทยังคงเน้นไปที่การลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ภายในบริษัทในการเพิ่มประสิทธิภาพงานก่อสร้างและงานขาย รวมทั้งการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกบ้านที่ซื้อโครงการของแสนสิริไป เพราะในช่วงแรกตั้งแต่ปี 2561-2663 บริษัทมีความต้องการให้การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ทำให้ลูกบ้านของแสนสิริใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และมีความสะดวกสบาย ก่อนที่จะนำเทคโนโลยีไปนำเสนอแก่ผู้ประกอบการอื่นๆเพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนเข้ามาให้กับสิริเวนเจอร์ฯในปีหน้าต่อไป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*