ไซมิส แอสเสทฯ เดินหน้าขยายการลงทุน หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อก้าวเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ ลุยตอบโจทย์ลูกค้า ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในระยะยาว สร้างจุดแข็งที่แตกต่างเหนือคู่แข่ง ดันผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว โชว์ Backlog ปัจจุบัน 9,446 ล้านบาท เริ่มทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 4/63  เป็นต้นไป

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายเป็นวันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมาโดยใช้ชื่อย่อ “SA”ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และนับเป็นหุ้นไทยตัวสุดท้ายของปี 2563  ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่แตกต่างเหนือคู่แข่ง จะช่วยสนับสนุนให้ SA เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ในทำเลที่ดีที่สุดและในราคาที่คนไทยเอื้อมถึงได้  โดยใช้ประสบการณ์จากการรับเหมาก่อสร้างโครงการมากมาย ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ อาทิ ต้นทุนค่าที่ดิน ต้นทุนการบริหารงาน และต้นทุนค่าก่อสร้าง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ สามารถกำหนดราคาขายได้ต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่น และควบคุมมาตรฐานการก่อสร้างในระดับ International Standard

ปัจจุบัน SA พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูงครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกระดับ อาทิคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ฯลฯ โดยเน้นการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ บนทำเลที่มีศักยภาพ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 3 ประเภท  ได้แก่ 1. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย 2. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และ 3. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการบริการ นอกจากนี้ ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น การบริหารนิติบุคคลอาคารชุด, นายหน้าจัดหาผู้เช่าห้องชุด เป็นต้น ทำให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในระยะยาว

ทั้งนี้ หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เบื้องต้นจะนำเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปใช้ชำระคืนสถาบันการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน โดยจะทำให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) ลดลงเหลือประมาณ 1.5 – 1.7 เท่า จากปัจจุบัน (ณ วันที่ 30 ก.ย. 63) อยู่ที่ประมาณ 2.1 เท่า และส่วนที่เหลือจะนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ขยายการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่

1.โครงการ Blossom Condo @ Fashion 3 ซึ่งมีแผนพัฒนาเป็น Mixed-use Real Estate  มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท

2.โครงการ Above 39 มีแผนปรับปรุงเป็นโรงแรมหรือห้องชุดให้เช่าพร้อมบริการภายใต้มาตรฐานโรงแรม มูลค่าโครงการประมาณ 1,900 ล้านบาท

3.โครงการ Blossom Condo @ TSH Station มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศและต่างประเทศ และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ

ปัจจุบัน SA  มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ในมือประมาณ 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 32,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในทำเล CBD และ New CBD กว่า 80% ขณะที่มียอดขายรอโอนกรรมสิทธ์ (Backlog)  กว่า 9,000 ล้านบาท  โดยจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/63 เป็นต้นไป นอกจากนี้บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักสำรองต่างๆ ของบริษัทฯ

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-กันยายน) SA มีรายได้รวม 2,060.6 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้หลักจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวน โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าแล้ว และมีกำไรสุทธิ  283.9 ล้านบาท  จากการที่บริษัทฯ สามารถปรับราคาขายห้องชุดในบางโครงการให้สูงขึ้นได้ และบริหารจัดการต้นทุนก่อสร้างของ โครงการใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายเล็ก สิขรวิทย

ด้านนายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า SA เป็นบริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีศักยภาพ มีการนำความรู้ความสามารถจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาพัฒนา ทั้งด้านต้นทุนและเทคนิคการก่อสร้าง และมีบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาฯ เช่น การให้บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด,  ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายในรูปแบบ Branded Residence, ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

โดย SA ถือได้ว่าเป็นบริษัทฯ ที่มีจุดแข็งแตกต่างเหนือคู่แข่ง และยังสามารถทำผลการดำเนินงานได้เติบโตต่อเนื่อง แม้ในยามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม จึงได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนในช่วงการจองซื้อหุ้น IPO เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*