แอสทิน เอสเตทฯ เผยโควิด-19 ดันความต้องการซื้ออสังหาฯ แนวราบ บวกอานิสงส์นโยบายปรับลดภาษีที่ดินฯ หนุนความต้องการซื้อบ้าน โดยเฉพาะตลาดบนยังเติบโตต่อเนื่อง ระบุหลังรีแบรนด์บริษัท พร้อมขยายฐานหลากทำเลเสริมความแกร่ง แย้มปีนี้จ่อผุดแนวราบคอนโดฯพัฒนาเองและร่วมทุนพันธมิตร 2 โครงการ มูลค่าร่วม 3,000 ล้านบาท
 นายพรชัย กฤษฎาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสทิน เอสเตท จำกัด บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มีประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากว่า 40 ปี เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2564 ที่ทั่วโลกและประเทศไทย ยังคงเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ โดยตลาดอสังหาฯ แนวราบ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ที่ผู้ซื้ออสังหาฯ ให้ความนิยมซื้อโครงการแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ฯลฯ ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโดมิเนียม เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลที่จะพักอาศัยในพื้นที่แคบ ๆ และอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19

“พฤติกรรมของผู้ซื้ออสังหาฯ เปลี่ยนอย่างชัดเจนนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 ตลาดแนวราบได้รับความนิยมมากกว่าคอนโดฯ เพราะผู้คนกลัวการอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ และใกล้ชิดกับผู้อื่น หรือ แม้แต่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบใหม่ เช่น การทำงานที่บ้านแทนการเข้าออฟฟิศ ฯลฯ ล้วนเป็นปัจจัยกดดันตลาดคอนโดฯ ที่มีพื้นที่น้อยได้รับความนิยมลดลงอย่างมีนัย แต่ส่งผลบวกต่อตลาดบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ได้รับความนิยมและเติบโตมากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2563 และต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ซึ่งตลาดเป็นของผู้ซื้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มตลาดพรีเมียม ที่ผู้ซื้อมีความสามารถเลือกซื้อโครงการคุณภาพในราคาที่เหมาะสมได้ ขณะเดียวกันตลาดอสังหาฯ แนวราบ ยังได้ผลบวกในเรื่องของภาษีที่ดินฯ ปรับลดลงกว่า 90% อีกด้วย” นายพรชัย กล่าว

นายพรชัย กล่าวต่อไปว่า ในปี 2564 ซึ่งสถานการณ์อาจจะอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนจากการระบาดของโรคโควิด-19 จึงเป็นโอกาสให้บริษัทฯ ได้ศึกษาแนวทางการทำธุรกิจ และดำเนินการรีแบรนด์องค์กรใหม่จากแบรนด์เดิม “ภัทรา เอสเตท” สู่แบรนด์ใหม่ “แอสทิน เอสเตท” เพื่อสร้างจุดแข็งเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กร และเตรียมความพร้อมสำหรับการมาของยุคดิจิทัล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยมุ่งขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและดีไซน์ มุ่งสร้างโครงการอสังหาฯ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยยุคปัจจุบันให้ดี มีความเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตลาดอสังหาฯ สู่หลากหลายทำเลมากยิ่งขึ้น จากเดิมบริษัทฯ จะเป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้า ทำเลของคนเมือง โดยเฉพาะย่านทำเลพระราม 3, สาธุประดิษฐ์ ฯลฯ

ปัจจุบัน แอสทิน เอสเตทฯ มีโครงการภายใต้การบริหาร 5 แบรนด์ มูลค่ารวมกัน 5,650 ล้านบาท  โดยในปี 2564 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่อย่างน้อย 2 โครงการ โดยเป็นโครงการที่พัฒนาเอง 1 โครงการ คือ  เวอริทซ์ (Veritz) สาธุประดิษฐ์ 34 ลักชัวรี่ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น จำนวน 35 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 20.9-26 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “MAKE YOUR MARK MORE REMARKABLE” เผยอัตลักษณ์แห่งการใช้ชีวิตที่เหนือกว่า ผ่านทุกช่วงเวลาของการอยู่อาศัยที่โดดเด่น ที่สุดของอุดมคติแห่งการพักผ่อนอันเงียบสงบ และบรรจบกับสุนทรียภาพแห่งความสุขเกินใครในทุก ๆ รายละเอียด ซึ่ง เวอริทซ์ (Veritz) สาธุประดิษฐ์ 34 เป็นหนึ่งในโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ มีความเงียบสงบในใจกลางเมือง และเชื่อมต่อย่านธุรกิจได้ง่ายที่สุด คาดว่าจะเปิดพรีเซลได้ในครึ่งปีหลัง 2564 นี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ส่วนอีก 1 โครงการเป็นการร่วมทุน บริษัท ภัทรนันท์ แอสเซท จำกัด คือ โครงการ ไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี” คอนโดมิเนียม สูง  8 ชั้น จำนวน 5 อาคาร รวม 911 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Urban Playground”  เปลี่ยนทุกวันธรรมดา (Basic Day) ให้เป็นวันแห่งความสนุก (Play Day) เพราะชีวิตมีหลากหลายด้าน “บ้าน” จึงเป็นที่ผ่อนคลายในแบบของผู้อยู่ คอนโดที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตการออกแบบ “Go with The Flow” และยังมีโครงการบ้านแฝดอีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในแผนงาน เตรียมพร้อมจะเปิดตัวภายในปี 2564 นี้

สำหรับโครงการที่อยู่ในระหว่างการเปิดขายขณะนี้ 2 โครงการ ได้แก่

โครงการ เดอะพณา (The Pana) เพชรเกษม-สาย 3 บ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น ย่านเพชรเกษม-พุทธมณฑลสาย 3

-โครงการ บิซ แกลเลอเรีย (Biz Galleria) นวลจันทร์-เกษตรนวมินทร์ ออฟฟิศเรสซิเดนซ์ สไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่

“ประสบการณ์ในแวดวงอสังหาฯ ของบริษัทกว่า 40 ปี เราได้รับความไว้วางใจมาตลอดตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ที่ได้วางรากฐานบริษัทมา วันนี้ แอสทิน เอสเตท ในรูปลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมที่จะตอบโจทย์ลูกค้า และเรายังมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ยิ่งภายใต้สถานการณ์โควิด การคำนึงถึงโจทย์ความต้องการของลูกค้าจึงสำคัญ เพื่อให้ลูกบ้านที่อยู่อาศัยในโครงการได้รับสิ่งที่ดีที่สุด” นายพรชัย กล่าวในที่สุด

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*