เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ทฯ เชื่อตลาดท่องเที่ยวโรงแรมปี 65 เริ่มฟื้นตัว มั่นใจรร.ในเครือได้รับอานิสงส์จาก “มาโครเทรนด์” ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำเฉลี่ย 30% กางแผน 3 ปี อัดงบลงทุนกว่า 7,300 ล้านบาท ทั้งพัฒนาเองและเทกโอเวอร์ โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลเอเชียและแปซิฟิก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรอินเดีย คาดปี 67 เติบโตเป็น 3 เท่าตัว  ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ขึ้น New High ที่ 8,500 ล้านบาท
นายเดิร์ก เดอ คุยเปอร์
นายเดิร์ก เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)หรือ SHR ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมและการลงทุนชั้นนำในเครือบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในหลายภาคส่วนของโลกกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าธุรกิจโรงแรมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงโรงแรมของในเครือของบริษัทฯที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ที่คาดว่าจะสร้างรายได้เป็นสัดส่วนของรายได้รวมทั้งหมด 44% และ 28% ตามลำดับ ส่วนสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยภาพรวมกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว แต่ในส่วนของบริษัท ในอังกฤษนั้นไม่น่าจะได้รับผลกระทบ แต่โรงแรมในประเทศอื่นๆคงต้องจับตาดูเป็นรายไตรมาส

ทั้งนี้ในสหราชอาณาจักร นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) จะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ความนิยมในการการจัดงานอีเวนท์ต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมไมซ์ (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions หรือ MICE) ซึ่งกว่าร้อยละ 50 จะเป็นการจัดงานแบบพบปะกันของผู้เข้าร่วมงานที่โรงแรม อาจเอื้อให้ RevPAR สามารถเพิ่มขึ้นอีกจนกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Pre-Brexit)

ขณะเดียวกันคาดว่าโรงแรมในสาธารณรัฐมัลดีฟส์จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทยอยเดินทางท่องเที่ยวมายังสาธารณรัฐมัลดีฟส์อย่างต่อเนื่อง โดยยังพบว่าผลกระทบจากประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปอย่างจำกัดดังจะเห็นได้จากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในห้วงเวลาดังกล่าวมีจำนวนทั้งสิ้น 168,491 คน ซึ่งมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563 และ 2564 เกินกว่า 45% เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากประเทศทางแถบยุโรปและตะวันออกกลาง  นอกจากนี้รัฐบาลของสาธารณรัฐมัลดีฟส์คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวในปี 2565 ประมาณ 1.6 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีผ่านมา

 

นอกจากนี้ยังคาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศอื่น ได้แก่ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเซียส และประเทศไทย จะยังสามารถเติบโตต่อไป เนื่องจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ เริ่มออกมาตรการผ่อนปรนด้านการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวภายหลังการแพร่ระบาด ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด จึงมั่นใจอย่างมากว่าจะได้รับอานิสงส์จาก “มาโครเทรนด์” (macro trends) อย่างมหาศาล เนื่องจากจำนวนของแขกผู้เข้าพักในโรงแรมของบริษัทฯกลับมาใช้บริการซ้ำโดยเฉลี่ย  30%

“โรงแรมที่เจาะกลุ่มการท่องเที่ยว ได้แก่ มัลดีฟส์ เริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลมัลดีฟส์คาดการณ์มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในปี 2565 ราว 1.6 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 1.32 ล้านคน ถือเป็นสัญญาณบวกต่อโรงแรมในมัลดีฟส์ของบริษัททั้ง 2 แห่ง ที่จะมีอัตราการเข้าพักเพิ่มสูงขึ้น สำหรับโรงแรมในประเทศไทยเริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาพักและจองห้องพักล่วงหน้ามากขึ้น รวมถึงนักท่งอเที่ยวชาวไทยยังคงมีการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมาต่อเนื่อง จากการที่มีโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นปัจจัยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และการที่ภาครัฐผ่อนคลายนโยบายการเข้าประเทศมากขึ้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาเสริม รวมถึงโรงแรมในฟิจิและมอริเชียสที่เริ่มเห็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวมากขึ้น” นายคุยเปอร์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการวางแผนการลงทุน 3 ปี และวางงบการลงทุนกว่า 7,300 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และวางงบกว่า 2,800 ล้านบาทเพื่อเสริมแกร่งกลยุทธ์หมุนเวียนและต่อยอดการลงทุน (Asset Rotation) ตลอดจนการลงทุนในการก่อสร้าง “โซ/มัลดีฟส์”(SO/Maldives)  ซึ่งมีแผนเปิดตัวโครงการในปี 2566 นอกจากนี้ยังวางงบลงทุนเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and acquisition) เพิ่มเติมอีก 4,500  ล้านบาท
“ในอีก 3 ปีข้างหน้า เรามุ่งเดินหน้าพัฒนาและขยายธุรกิจในทุกรูปแบบเพื่อทำให้บริษัทฯ เติบโตต่อไปในอนาคตหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เราจะยังคงรักษาพอร์ตโรงแรมของเราให้อยู่ในระดับสมดุลอยู่เสมอ โดยปลดล็อกทรัพย์สินที่เต็มมูลค่าแล้วเพื่อปรับปรุงทรัพย์สินในพอร์ตที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเราได้เริ่มดำเนินการปรับพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรเป็นพอรต์แรก สำหรับแผนการลงทุนใหม่ เรามีแผนในการขยายธุรกิจผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ โดยกำลังมองหาโรงแรมในแถบชายฝั่งทะเลเอเชียและแปซิฟิก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรอินเดีย โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 4,500 ล้านบาท นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้ประกอบการและบริหารธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ของเราเอง รวมทั้งจับมือกับพันธมิตรผู้ประกอบการโรงแรมชั้นนำระดับนานาชาติเพื่อขยายธุรกิจ ดังนั้นเราจึงเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะสามารถเติบโตเป็น 3 เท่าภายในปี 2567 อย่างแน่นอน” นายคุยเปอร์ กล่าว

ทั้งนี้จากปัจจัยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวขึ้นค่อนข้างดีในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ของโรงแรมในพอร์ตของบริษัทในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นได้ 20-25% จากการที่บริษัทสามารถปรับเพิ่มราคาห้องพักโรงแรมในพอร์ตได้ตามดีมานด์ของนักท่องเที่ยวที่กลับมามากขึ้น และการอัปเกรดระดับโรงแรมในพอร์ตให้ขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น จากการปรับปรุงโรงแรม 3 แห่ง ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เพื่อให้ได้มาตรฐานและมีภาพลักษณ์สอดคล้องกับการเปลี่ยนเป็นแบรนด์ SAii ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทฯ สร้างขึ้น และเป็นแพลตฟอร์มโรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง (Self-Managed Platform) การใช้แบรนด์ SAii จะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการปรับลุคในครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถช่วยกระตุ้นอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563

โดยความสำเร็จในการปรับโฉมโรงแรมใหม่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มในด้านต่าง ๆ ให้แก่โรงแรม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแขกผู้เข้าพักยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสริมที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ในปี 2565  นอกจากนี้การจัดแพ็กเกจที่พักสุดพิเศษพร้อมด้วยกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร เช่น การมีศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล หรือ Marine Discovery Centre ที่ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) หรือ ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมมัลดีฟส์ (Maldives Discovery Centre) ที่ โครงการ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความทันสมัย และหลงใหลในความงดงามของธรรมชาติแวดล้อมของสถานที่ท่องเที่ยวให้ใช้จ่ายเพิ่มได้ถึง 15% โดยคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 20-25% ให้กับโรงแรมในปีนี้

“กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยใช้การตลาดและการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการจองที่พักโดยตรงด้วยตนเอง สนับสนุนให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ในปีที่แล้วรายได้จากช่องทางจองที่พักโดยตรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากแพลตฟอร์มสำหรับการจองห้องพักของบริษัทฯถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ทำให้การจองห้องพักเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว สร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับแขกผู้เข้าพัก ในปีนี้บริษัทฯคาดว่ารายได้จากช่องทางดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปีก่อนๆโดยเฉลี่ยเป็น 30% ของรายได้รวมทั้งหมด” นายคุยเปอร์ กล่าว

อย่างไรก็ตาในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโต 88% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 8,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการทำรายได้ที่เป็นสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ของบริษัทฯ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*