ผู้ประกอบการอสังหาฯทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/65 “โนเบิล” ฟอร์มดี ดันยอดขายไตรมาสแรกกว่า 6,400 ล้านบาท หนุน Backlog ทะลุกว่า 15,400 ล้านบาท  พร้อมรุกผุดโครงการใหม่ต่อเนื่องตามแผน ด้าน“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”  กวาดรายได้รวมกว่า 3,776 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 738 ล้าน กลุ่มทุนต่างชาติมั่นใจ ร่วมทุนเพิ่มอีก 5 โครงการ ด้านธุรกิจโรงแรมอัตราเข้าพักเติบโต แนวโน้มรับรู้รายได้เพิ่มต่อเนื่องหลังคว้า ibis 3 แห่ง คาดหนุนรายได้แตะ 17,500 ล้านตามเป้า  ส่วน“แอสเซทไวส์”ทำรายได้รวมกว่า 1,270 ล้านบาท และกำไรสุทธิ  226 ล้านบาท   ไตรมาส 2 เตรียมเปิด 4 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท  คาดยอดขายทั้งปีตามเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท  ขณะที่“วิลล่า คุณาลัย” กวาดกำไร 38.67 ล้านบาท เติบโต 41.16% ขณะที่ยอดขายไตรมาส1/65 แตะระดับ 460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.5 % หนุน Backlog ในมือสูง 360 ล้านบาท ทยอยโอนไตรมาส 2/65 ประกาศย้ำเป้าหมายรายได้ปีนี้โต 10-15 % ขณะที่ยอดขายเติบโตมีลุ้นแตะ1,700 ล้านบาท
นายธงชัย บุศราพันธ์
NOBLE ปลื้มยอดขายทำนิวไฮพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท  โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 สามารถทำยอดขายยอดขาย (Pre-sale) ได้ในระดับกว่า 6,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150% YoY และเพิ่มขึ้น 155% QoQ  ซึ่งยอดขายดังกล่าวถือเป็นการสร้างการเติบโตที่ทำสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาส (New Highs) และที่สำคัญยังเป็นการเติบโตสูงเกือบเท่ากับทั้งปีของปี 2564 ที่ทำได้ 8,035 ล้านบาท ซึ่งยอดขายที่ทุบสถิติดังกล่าวเป็นยอดขายจากโครงการต่อเนื่องในปี 2564 ประกอบกับไตรมาส 1/2565 มีโครงการที่เปิดขายใหม่จำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ นิว ดิสทริค อาร์9 (Nue District R9), 2.โครงการ นิว เมกา พลัส บางนา (Nue Mega Plus Bangna) 3.โครงการ นิว ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น (Nue Z-Square Suan Luang Station) 4.โครงการ นิว อีโว อารีย์ (Nue Evo Ari) และ 5.โครงการ นิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง (Nue Connex Condo Don Mueang) ซึ่งทุกโครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีสะท้อนให้เห็นจาก ยอดขายเฉลี่ย 40%-50% ของทุกโครงการรวมกัน

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ โดยนช่วงไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,300 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการ โนเบิล คิวเรท (Noble Curate) เป็นโครงการที่ดินระดับลักซ์ชัวรี่ 2. โครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน เฟส 1 (Nue Cross Khu Khot Station Phase 1) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 3. โครงการ โนเบิล เคิร์ฟ (Noble Curve) เป็นโครงการทาวน์เฮาส์ 4. โครงการ โนเบิล ครีเอท (Noble Create) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ High Rise 5. โครงการ โคฟ -นอร์ธ ราชพฤกษ์ (Noble Cove – North Ratchapruek) เป็นโครงการทาวน์เฮาส์  ซึ่งบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการ โนเบิล คิวเรท (Noble Curate) และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน เฟส 1 ไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,400 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปีตามเป้าที่ตั้งไว้จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,700 ล้านบาท โดยการเปิดตัวโครงการทั้งหมดเป็นกระจายสินค้าให้หลากหลายคลอบคลุมทุกทิศของกรุงเทพฯ

ด้านผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2565 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,496 ล้านบาท ลดลง 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 1/2565 บริษัทฯไม่มีโครงการใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/2564 ที่มีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมโอน สำหรับโครงการที่รับรู้ในไตรมาส 1/2565 มาจาก 4 โครงการหลัก ประกอบด้วย 1.โครงการ โนเบิล บี19 สุขุทวิท 2.โครงการ นิว โนเบิล แจ้งวัฒนะ 3.โครงการ นิว โนเบิล คอนเน็กซ์ เฮาส์ ดอนเมือง และ 4.โครงการ โนเบิล เกเบิล วัชรพล ซึ่งทั้ง 4 โครงการเป็นโครงการเดิมที่โอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2564

ทั้งนี้ จากยอดขายที่เติบโตอย่างมากในช่วงไตรมาส 1/2565 ส่งผลให้ยอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทเพิ่มขึ้นทะลุกว่า 15,400 ล้านบาทจาก ณ สิ้นปี 2564 ที่อยู่ในระดับ 10,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้และ 2-3 ปีข้างหน้า ส่งผลให้บริษัทฯยังคงเชื่อว่าในปี 2565 จะสามารถสร้างรายได้เติบโตมากกว่าปี 2564 อย่างแน่นอน และเชื่อว่าในปี 2566 จะเห็นการเติบโตของรายได้ที่ระดับ 15,000 ล้านบาท จากการรับรู้ Backlog ในมือ อีกทั้งยังเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ๆ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น

ในส่วนของแผนการลงทุน  ในสหราชอาณาจักร มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมีความยืดหยุ่นในการเข้าลงทุนจากการเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งอาคารเป็นแบบ Bulk ยูนิต หรือการซื้อเป็นจำนวนหลายๆห้อง (Bulk Deal) แทน เนื่องจากการซื้อเป็นยูนิตจะมีการแข่งขั้นที่น้อยกว่าการซื้อทั้งอาคารและรวดเร็วกว่า ซึ่งจะสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ได้ในระดับที่ 20% สอดคล้องกับธุรกิจหลักที่อยู่ในประเทศไทย โดยในปี 2565 บริษัทฯได้วางเป้าหมายจะซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) โดยในไตรมาส1/2565 บริษัทฯได้มีการซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ไปแล้วจำนวน 84 ยูนิต

ORI คว้ากำไรกว่า 738 ล้านทุนต่างชาติตบเท้าร่วมทุนต่อ โครงการ
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 (มกราคม-มีนาคม2565) มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,776 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า (Non-JV) กว่า 3,041 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจบริการ รายได้พิเศษจากกิจการร่วมทุน รวมถึงรายได้จากการบริหารโครงการร่วมทุนที่มีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 738 ล้านบาท

สำหรับโครงการที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างยอดโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 1/2565 ประกอบด้วย โครงการที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์เป็นครั้งแรกอย่างโครงการคอนโดมิเนียม ดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ (The Origin Ram 209 Interchange) โครงการที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (Park Origin Phayathai) นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง (Notting Hill Rayong) ในโครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง ขณะเดียวกัน ยอดขายในไตรมาส 1/2565 ซึ่งอยู่ที่ 8,149 ล้านบาท ที่เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ราว 6% และเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 11% ก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันยอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการพร้อมอยู่ด้วย

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่ยังคงรักษาเสถียรภาพได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มทุนทั้งไทยและต่างชาติยังคงให้ความสนใจในการพัฒนาโครงการร่วมทุน (Joint Venture Project) กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมานี้ มีโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้นถึง 5 โครงการ โดยมีถึง 4 โครงการที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ โซ ออริจิ้น พหลโยธิน 69 (So Origin Phaholyothin 69) และออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ (Origin Plug & Play Srinakarin) โครงการบ้านจัดสรร 2 โครงการ คือ โครงการบริทาเนีย ทาวน์ บางนา กม.17 (Britania Town Bangna KM.17) และบริทาเนีย โฮม บางนา กม.17 (Britania Home Bangna KM.17) และ อีก 1 โครงการ ที่เป็นการร่วมทุนที่ได้พันธมิตรใหม่ (Partner) อย่าง บริษัท โลฟิส (ไทยแลนด์) จำกัด คือ โครงการแกรนด์บริทาเนีย คูคต สเตชั่น ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของบริทาเนียในการร่วมทุน พัฒนาโครงการกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำ

สำหรับไตรมาส 2/2565 นั้น โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์เป็นครั้งแรก โดยปัจจุบันโครงการดังกล่าวมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ตุนอยู่แล้วกว่า 70% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งน่าจะมีส่วนสำคัญต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์และรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 ขณะเดียวกัน ภาพรวม Backlog ของบริษัทในปัจจุบัน ทั้งกลุ่มโครงการ JV และ Non-JV มีมูลค่ารวมกว่า 35,800 ล้านบาท คาดว่าจะมีส่วนสำคัญให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ฝั่งธุรกิจอื่นๆ ภายใต้แผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล หรือ Origin Multiverse ก็ยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ยังคงมองเห็นสัญญาณที่ดีในการเติบโต โดยไตรมาส 1/2565 นี้ โรงแรม 2 แห่งแรก คือ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) และฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn & Suites Siracha Laemchabang) มีอัตราการเข้าพักกว่า 83% และ 58% ตามลำดับ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ไตรมาส 2/2565 จะมีการรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากโรงแรมไอบิส (ibis) 3 แห่งที่เพิ่งดำเนินการซื้อกิจการเสร็จสิ้น และน่าจะได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากการผ่อนคลายมาตรการด้านการท่องเที่ยวและเปิดรับชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น จากปัจจัยทั้งหมดจึงคาดว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ 17,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/2565 ทริส เรทติ้ง ได้ปรับอันดับเครดิตของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จากระดับ BBB แนวโน้ม Positive สู่ระดับ BBB+ แนวโน้ม Stable เนื่องจากบริษัทมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง และสามารถก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่อง ชิงส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในธุรกิจคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีสินค้าครอบคลุมหลากหลายระดับราคาไปจนถึงราคา 50 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนลดลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่าและยังสามารถสร้างรายได้และยอดขายได้อย่างเติบโต แม้ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ในปี 2564 ที่ผ่านมา

นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์
ASW ชูอัตรากำไรสุทธิ 18%  มั่นใจดันยอดขายทั้งปีตามเป้าหมื่นล้าน
นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 1/2565 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,270 ล้านบาท ลดลง 18% QoQ และเพิ่มขึ้น 2% YoY โดยโครงการที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์หลักๆ ได้แก่ โครงการ แม็กซี่ ไพร์ม รัชดา-สุทธิสาร มูลค่าโครงการ 570 ล้านบาท ,โครงการแนวราบ บ้านภูริปุรี ลาดพร้าว 41 มูลค่าโครงการ 90 ล้านบาท ,โครงการ เคฟทาวน์ ชิฟท์ มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท และโครงการ โมดิซ สุขุมวิท 50 มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท ซึ่งรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว

ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% QoQ และลดลง 29% YoY ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราการทำกำไรขั้นต้น (GP) ได้ในระดับ 36% และอัตรากำไรสุทธิ (NP) ที่ 18% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงหากเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2 เตรียมเปิดตัวใหม่  4 โครงการ มูลค่ารวม 4,980 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ,โครงการ เอสต้า รังสิต-คลอง 2 มูลค่าโครงการ 680 ล้านบาท, โครงการ แอทโมซ พอร์เทรต ศรีสมาน มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท และโครงการ เคฟ โคโลนี มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการในทุกด้าน และพร้อมเดินหน้าทำการการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจับมือกับพันธมิตรสร้างมิติใหม่ให้กับผู้อยู่อาศัยโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ มั่นใจว่าด้วยการกลยุทธที่บริษัทวางไว้ จะช่วยผลักดันยอดขายทั้งปีตามที่ตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาท เติบโต 13% และมีรายได้รวมในปีนี้ที่ 6,000 ล้านบาท เติบโต 19% ตามเป้าหมาย ปัจจุบันมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 8,207 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง

นางประวีรัตน์ เทวอักษร
KUN” โชว์งบQ1/65 ผ่านฉลุย มั่นใจปี65 รายได้โต 10-15 %   
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2565 ของบริษัทฯมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 38.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีกำไรสุทธิ 27.39 ล้านบาท และ รายได้รวมที่ 267.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.06 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 190.99 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากการส่งมอบโครงการเพิ่มขึ้น โดยในช่วงไตรมาสแรก บริษัทฯ รับรู้รายได้จาก 5 โครงการหลัก ได้แก่ 1.โครงการคุณาลัย พรีม, 2.โครงการคุณาลัย บีกินส์ 2, 3.โครงการคุณาลัย จอย ออน 314, 4.โครงการคุณาลัย พาร์โก้ และ 5.โครงการคุณาลัย คอร์ทยาร์ด
ส่วนยอดขาย (Presale) ณ สิ้นไตรมาส1/2565 อยู่ที่ 460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.5 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มียอดขาย 350 ล้านบาท ซึ่งยอดขายดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 25 % ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ 1,700 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการของบริษัทฯ ได้การตอบรับที่ดีจากลูกค้า  ทำให้บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะโครงการ คุณาลัย พาร์โก้ ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 1/2565 ได้รับการตอบรับที่ดี จนล่าสุดมียอดขายแล้วกว่า 10 แปลง ซึ่งสามารถทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้เข้ามาแล้ว ตั้งแต่ในไตรมาสแรก ดังนั้นบริษัทฯ เชื่อว่ายอดขายสำหรับโครงการดังกล่าว มีโอกาสแตะ 50 แปลง ในปีนี้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน  ทั้งนี้ จากยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไตรมาแรก บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือ มูลค่ารวมกว่า 360 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้ภายในไตรมาส 2/2565

อย่างไรก็ตามจากปัจจัยการเติบโตของบริษัทฯ ส่งผลให้ KUN ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายในปี 2565 เพิ่มขึ้น 10-15 % จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,000 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 1,700 ล้านบาท

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*