พราว เรียล เอสเตทฯเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจหันรุกตลาดกทม.หัวเมืองท่องเที่ยว เจาะเรียลดีมานด์ รองรับการเติบโตกระจายความเสี่ยง ล่าสุดประกาศเปิดตัวบ้านเดี่ยว ย่านอารีย์ คอนโดฯย่านคอนแวนต์ 2 โครงการ รวมมูลค่า 4,407 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวไตรมาส 4/65 มั่นใจผลการดำเนินงานพลิกกลับมามีกำไรในไตรมาส 3/65 พร้อมตั้งงบ 5,000 ล้านบาท  เดินหน้าซื้อที่ดิน-ขยายโครงการสร้างรายได้ต่อเนื่องในอีก 2 ปี
นายพสุ  ลิปตพัลลภ
นายพสุ  ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯนับจากนี้ไปจะรุกการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯและหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตและกระจายความเสี่ยง โดยที่ผ่านมาบริษัทฯจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.ภูเก็ต เป็นหลัก
ดังนั้นในครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทฯจึงปรับเข้ามาพัฒนาโครงการในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ จำนวนทั้งสิ้น 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 4,407 ล้านบาท ซึ่งที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้ได้ซื้อมาเมื่อกลางปี 2564 ที่ผ่านมา ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ได้แก่ ที่ดินย่านอารีย์ ซอย 3 ซื้อมาในราคาประมาณ 400,000 บาท/ตารางวา พื้นที่ประมาณ 1 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว สูง 3 ชั้นครึ่ง ภายใต้แบรนด์ “วี อารีย์”(VI ARI) ขนาด 60 ตารางวา มีจำนวนเพียง 6 ยูนิตเท่านั้น ราคา 70 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 507 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลประมาณไตรมาส 4/2565

ส่วนอีกโครงการเป็นการซื้อที่ดินบริเวณซอยคอนแวนต์ ตรงข้ามโรงพยาบาลบีเอ็นเอช(BNH) พื้นที่ 1.5 ไร่ ในราคาประมาณ 1.7 ล้านบาท/ตารางวา พัฒนาเป็นคอนโดฯ สูงประมาณ 34 ชั้น มูลค่าประมาณ 3,900 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คาดว่าจะเปิดพรีเซลประมาณไตรมาส 4/2565

“ที่ดินที่เราซื้อมาทั้ง 2 แปลง ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าตลาด และสามารถเพิ่มมูลค่าที่สูงมาก จึงสามารถพัฒนาโครงการที่มีมูลค่าได้มากกว่าโครงการอื่นๆในย่านเดียวกัน ซึ่งทั้ง 2 โครงการเราจะเน้นการพัฒนาโครงการที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และเน้นเรียลดีมานด์เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันก็มีผู้นำที่ดินมาเสนอหลายแปลง โดยเฉพาะหัวเมืองท่องเที่ยว ซึ่งเราก็ไม่ปิดโอกาส โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาและตัดสินใจ”นายพสุ กล่าว

ด้านนายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PROUD กล่าวว่า แนวโน้มของธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้อย่างเด่นชัด และจะสามารถมีผลการดำเนินงานพลิกกลับมามีกำไรได้ในช่วงไตรมาส 3/2565 จากการทยอยโอนโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ในช่วงที่ผ่านมา ที่ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90% ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3,400 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ พัฒนาการบริการหลังการขาย ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ เสริมฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงเตรียมความพร้อมต่างๆภายในองค์กรควาคู่กับการวิจัยศึกษาตลาดและพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย ให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ในช่วงเดือนกันยายน 2565 บริษัทยังได้เปิดโครงการใหม่ คือ “เวหา” (VEHHA) มูลค่า 2,290 ล้านบาท และจะเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาส 4/2565 และคาดว่าจะสร้างเสร็จและรับรู้รายได้เข้ามาภายในปี 2568 รวมถึงการรุกตลาดบ้านแนวราบ โดยเปิดโครงการวี อารีย์ (VI ARI) คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาภายในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566  อีกทั้งคอนโดมิเนียม ย่านคอนแวนต์ ก็จะรองรับรายได้เข้ามาในปี 2569

ด้านการลงทุนของบริษัทฯนั้นได้วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองในต่างจังหวัด โดยที่ยังคงเน้นไปที่ทำเลที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่มุ่งเน้นในการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่ เพราะบริษัทยังมองว่ากลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง ยังเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มองหาโอกาสในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพต่อเนื่อง และไม่ได้รับผลกระทบมาจากปัจจัยความผันผวนของเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้การพัฒนาโครงการของบริษัทสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ต่อเนื่อง   

อย่างไรก็ตามในปี 2569 บริษัทรายได้ขึ้นไปแตะ 15,000 ล้านบาท จากการทยอยโอนโครงการของบริษัทที่เปิดขายอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการที่เปิดขายแล้ว และโครงการที่เตรียมเปิดขายในอนาคต ซึ่งจะเข้ามาเป็นปัจจัยในการผลักดันการเติบโตของรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ โดยที่ปัจจุบันโครงการที่บริษัทฯเปิดขายไปแล้วและจะทยอยเปิดขายในช่วงที่เหลือเองปี 2565 นี้ สามารถรองรับรายได้ให้กับบริษัทได้ถึงไตรมาส 1/2569 โดยที่มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3,400 ล้านบาท

โดยการพัฒนาโครงการใหม่ๆของบริษัทฯหลังจากนี้จะเริ่มหันมากระจายสัดส่วนไปสู่โครงการแนวราบมากขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่ยังเห็นความต้องการในตลาดที่ดีต่อเนื่อง และทำให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้เร็ว แต่ยังคงมีการพัฒนาโครงการแนวสูงที่ควบคู่กัน เพราะเป็นโครงการที่บริษัทมีความชำนาญ และสามารถรองรับรายได้ในอนาคต ประกอบการทำเลในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะเข้ามาพัฒนาในกรุงเทพฯ ที่เป็นทำเลในเมือง CBD มากขึ้น เพราะเป็นทำเลที่เหมาะกับการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่ และมีความต้องการซื้อของลูกค้าระดับบนอยู่มาก

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 คาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ และคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายในปีนี้ ทำให้ในปี 2566 บริษัทจะสามารถประกาศการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2565 ให้กับผู้ถือหุ้นได้ และการที่บริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมได้แล้ว ทำให้บริษัทสามารถนำเงินที่ได้จากการดำเนินงานมาชำระคืนหลี้บางส่วนกับสถาบันการเงิน ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงมาที่ 1 เท่า จากปัจจุบันที่ 2 เท่า ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับบริษัทมากขึ้นนอกจากนี้ในส่วนของการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทยังคงมีการควบคุมและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง โดยเฉพาะต้นทุนการก่อสร้างที่มีการล็อกราคาต้นทุนกับผู้รับเหมาก่อสร้างในช่วงที่เริ่มรับงาน และปัจจุบันมองว่าราคาต้นทุนก่อสร้าชเริ่มเห็นการทยอยปรับลดลงมาตามราคาน้ำมัน และราคาเหล็กที่ปรับลดลง ทำให้แรงกดดันจากราคาต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นไม่กระทบต่อต้นทุนโครงการของบริษัท และในช่วงภาวะเงินเฟ้อที่สูงมองว่าจะเป็นช่วงที่คนมองหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่จะเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่สามารถสร้างมูลค่าและผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*