อรสิรินฯแย้มแผนภายใน
2-3 ปี สนขยายฐานลูกค้าไปกทม.ปริมณฑล และต่างจังหวัด มั่นใจแม้ไม่ใช่เบอร์ 1 ในเชียงใหม่ แต่ Brand Image เทียบเท่าบิ๊กเนม ระบุยังมีแลนด์แบงก์ส่วนตัวอีกกว่า 10,000 ไร่ ช่วยเสริมจุดแข็งสร้างความแกร่ง ถนนนิมมานเหมินทร์ยังครองแชมป์ราคาที่ดินแพงสุด 300,000-400,000 บาท/ตารางวา ประกาศแผนปี 66 จ่อผุด 6 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 3,225 ล้านบาท กางโรดแมป 2 ปี  ขึ้นแท่นผู้นำอสังหาฯ ภาคเหนือ  ทั้งเตรียมยื่น Filing ต่อก.ล.ต. 10 เม.ย.นี้ พร้อมเพิ่มทุนผ่าน IPO คาดผลการพิจารณาแล้วเสร็จในเดือนก.ย.ต.ค.นี้ และสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ไตรมาส 3-4/66 หวังนำเงินซื้อที่ดินพัฒนาโครงการในอนาคต ลดการพึ่งพาสถาบันการเงิน ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมในปี 66-67 ที่ 2,181 ล้านบาท และเป้ายอดโอนรวมที่ 1,759 ล้านบาท
นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์
นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน)  ในฐานะผู้ก่อตั้ง “อรสิริน” เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ แนวสูง และอาคารพาณิชย์บนทำเลคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าชาวไทย และต่างชาติมาโดยตลอด ส่งผลให้โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของอรสิริน ได้รับความนิยมต่อเนื่องมากว่า 17 ปี โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและขาย ณ ปี 2565 รวม 18 โครงการ มูลค่ารวม 15,505 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 11 โครงการ มูลค่ารวม 8,348  ล้านบาท แนวสูง 7 โครงการ มูลค่ารวม 7,157 ล้านบาท โดยคงเหลือเพื่อขายมูลค่ารวม 6,385 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบมูลค่า 4,679 ล้านบาท และโครงการแนวสูงมูลค่า 1,706 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ระดับกลาง-บน ของภาคเหนือภายในระยะเวลา 3 ปี

นอกจากนี้ภายในระยะเวลา 2-3 ปี บริษัทฯยังสนใจที่จะรุกอสังหาฯในตลาดต่างจังหวัด อาทิ ชลบุรี และเชียงราย รวมไปถึงในกทม.ด้วย แต่ทั้งนี้จะต้องสร้างแบรนด์ที่เชียงใหม่ให้มีความแข็งแกร่งเสียก่อน ขณะนี้จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“แม้ว่าอรสิริน จะไม่ใช่อสังหาฯเบอร์ 1 ในเชียงใหม่ แต่ในด้าน Brand Image ลูกค้าใน จ.เชียงใหม่ จะเทียบอรสิริน เท่ากับแบรนด์ของบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) และบริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) ซึ่งที่ผ่านมาบิ๊กแบรนด์จากกทม.ก็มาพัฒนาโครงการในกทม.กันครบทุกรายแล้ว บางบริษัทมาพัฒนาแล้วก็ดำเนินการไม่จบ แม้ว่าอรสิรินจะไม่ใช่บิ๊กเนม แต่ก็ไม่หวั่น เพราะมีต้นทุนที่ดินที่ถูกกว่า โดยปัจจุบันผมยังมีที่ดินสะสมในนามส่วนตัวที่เชียงใหม่อีกกว่า 10,000 ไร่ จึงถือว่ามีความได้เปรียบและมีจุดแข็ง ซึ่งทำเลถนนนิมมานเหมินทร์ยังมีราคาที่ดินแพงสุด คือ 300,000-400,000 บาท/ตารางวา แต่สร้างอาคารได้เพียง 4 ชั้น เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องระยะถอยร่น(FAR)“นายบุญเลิศ กล่าว

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์
นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาแนวราบและแนวสูงภายใต้แบรนด์ ได้แก่ โครงการ THE ESCAPE , HABITAT , BELIVE , ORNSIRIN , ORNSIRIN VILLE , URBAN MYX , THE ASTRA , ARISE และ THE NEXT ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายการเติบโตที่วางไว้ บริษัทกำหนดแผนธุรกิจในปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่แนวราบ-แนวสูง รวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,225 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 3 โครงการ มูลค่ากว่า 1,940 ล้านบาท และแนวสูงอีก 3 โครงการ มูลค่าประมาณ  1,285 ล้านบาท คาดจะเริ่มพัฒนาโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2566 ขณะที่ในปี 2567 มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการแนวราบ มูลค่า 233 ล้านบาท และโครงการแนวสูง มูลค่า 1,707 ล้านบาท รวมมูลค่า 1,940 ล้านบาท

นอกจากนี้ ภายในปี 2567 บริษัทเตรียมแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพในพื้นที่ภาคเหนือเพิ่มเติม มูลค่ารวมประมาณ 1,940 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบมูลค่ารวมประมาณ 233 ล้านบาท และโครงการแนวสูง มูลค่ารวมประมาณ 1,707  ล้านบาท เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ภาคเหนืออย่างแข็งแกร่ง

 

นายอรรคเดช อุดมศิริธำรง
นายอรรคเดช อุดมศิริธำรง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยในภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ยังคงได้รับความนิยมจากชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมด้านเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นการเติบโตทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและ โครงการเชิงพาณิชย์  โดยบริษัทยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจากแผนการเปิดโครงการใหม่

อีกทั้ง ปัจจัยสนับสนุนจากกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศได้มากขึ้น รวมถึงนโยบายมาตรการภาครัฐ อาทิ การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และการผ่อนคลายมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(Loan To Value Ratio : LTV) ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น บริษัทจึงเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เร่งขยายตลาดบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ควบคู่กลยุทธ์นวัตกรรมในการก่อสร้าง เพื่อควบคุมต้นทุนบริหารความเสี่ยงให้สอดรับกับต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนเพื่อการซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน โดยวันที่ 10 เมษายน 2566 จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน(Filing)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)โดยปัจจุบันบริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 1,093.50 ล้านบาท และจะเพิ่มทุนผ่านการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering : IPO) จำนวน 406.50 ล้านหุ้น คาดว่าผลการพิจารณาจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน หรือเดือนตุลาคม 2566 หลังจากนั้นก็จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ได้ในปลายไตรมาส 3/2566 หรือต้นไตรมาส 4/2566

อย่างไรก็ตามการยื่นขอจดทะเบียนในครั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง โดยเม็ดเงินที่ได้จะนำไปซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการในอนาคต เพื่อเป็นการลดการพึ่งพาสถาบันการเงิน โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดขายรวมในปี 2566-2567 ไว้ที่ 2,181 ล้านบาท และเป้ายอดโอนรวมที่ 1,759 ล้านบาท

ขณะที่ในปี 2566 คาดว่ายอดขายรวมจะอยู่ที่ 1,735 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการประเภทคอนโดฯ จำนวน 926 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 53% และจากโครงการแนวราบ จำนวน 809 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 47%และวางเป้ายอดโอนรวมไว้ที่ 1,471 ล้านบาท แบ่งเป็นจากโครงการแนวราบ จำนวน 768 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 52% และจากโครงการคอนโดฯ จำนวน 703 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48% พร้อมเดินหน้ารักษาการเติบโตของยอดขาย ไว้ไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*