ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ประเมินสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC 3 จังหวัดในปี 2567 ทรงตัว มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ประมาณ 16,073 ยูนิต ขณะที่ที่สินค้าคงค้างรอการขายมีมากถึง 28,124 ยูนิต มูลค่า 94,316 ล้านบาท  ประเมินได้จากไตรมาส 3/2566 มีอาคารชุดเหลือขาย 18,184 ยูนิต และบ้านจัดสรร 26,599 ยูนิต

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยยว่า REIC คาดการณ์ว่าสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยโดยภาพรวมของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  3 จังหวัดในปี 2567  ยังคงทรงตัวโดยจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้ามาในตลาดจำนวนรวมประมาณ 16,073 ยูนิตมูลค่า 47,806 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 8,112 ยูนิต มูลค่า 29,359 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 7,961 ยูนิต มูลค่า 18,447 ล้านบาท

ส่วนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่คาดว่าจะมีประมาณ 26,133 ยูนิต มูลค่า 83,961 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 16,476 ยูนิต มูลค่า 51,089 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 9,657 ยูนิต มูลค่า 32,872 ล้านบาท ส่งผลให้ในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC มีที่อยู่อาศัยคงค้างรอการขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 28,124 ยูนิต มูลค่า 94,316 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 13,822 ยูนิต  มูลค่า 42,272 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 14,302 ยูนิต มูลค่า 52,044 ล้านบาท ทำให้คาดการณ์ว่าสถานการณ์โดยรวมของตลาดที่อยู่อาศัยกำลังปรับตัวเข้าสู่สภาวะที่ดีขึ้น เนื่องจากสินค้าคงค้างในตลาดลดลงถึง – 26.3% ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 3 ปี

ขณะที่ผลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ผ่านมาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัด พบว่ามีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเสนอขาย 51,550 ยูนิต ลดลง -4.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน มูลค่ารวม 173,628 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นหน่วยเสนอขายของอาคารชุด 20,615 ยูนิต เพิ่มขึ้น 14.5% มูลค่า 75,583 ล้านบาท บ้านจัดสรร 30,935 ยูนิต ลดลง -13.9% มูลค่า 98,045 ล้านบาท

ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่ EEC 3 จังหวัด มีจำนวน 8,078 ยูนิตเพิ่มขึ้น 96.2% มูลค่า 29,445 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปิดตัวใหม่สูงสุดที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาทั้งอาคารชุดและบ้านจัดสรร โดยหน่วยเปิดขายใหม่ส่วนใหญ่ 53.5% เป็นอาคารชุดและอยู่ในจังหวัดชลบุรีทั้งหมด ขณะที่บ้านจัดสรรที่เปิดใหม่กระจายอยู่ในจังหวัดชลบุรีประมาณ 46% และอยู่ในจังหวัดระยองและฉะเชิงเทราอีกจังหวัดละประมาณ 27%

ด้านหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 6,767 ยูนิต เพิ่มขึ้น 0.4% มูลค่า 22,505 ล้านบาท โดยพบว่าเป็นการขายอาคารชุด 2,431 ยูนิต เพิ่มขึ้น 50.3% มูลค่า 8,678 ล้านบาท ซึ่งหน่วยขายได้ใหม่เกือบทั้งหมดอยู่ในจังหวัดชลบุรีและเป็นโครงการที่เปิดตัวใหม่ในช่วง 3 ไตรมาสแรก ส่วนบ้านจัดสรรขายได้ใหม่ 4,336 ยูนิต ลดลง -15.4% มูลค่า 13,826 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลจากที่หน่วยของอาคารชุดเปิดใหม่มากกว่ายอดขายได้ใหม่ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 EEC 3 จังหวัดมีจำนวนหน่วยอาคารชุดเหลือขาย 18,184 ยูนิต เพิ่มขึ้น 11% มูลค่ารวม 66,905 ล้านบาท ขณะที่บ้านจัดสรรแม้ว่าจะมียอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ยังมีจำนวนหน่วยที่ขายได้มากกว่าหน่วยที่เปิดตัวใหม่มากพอสมควร จึงทำให้มีหน่วยเหลือขาย 26,599 ยูนิต ลดลง 13.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน มูลค่า 84,219 ล้านบาท

ทั้งนี้จากผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี พบว่ามีที่อยู่อาศัยรวมเสนอขายจำนวน 31,756 ยูนิต ลดลง -4.5% มูลค่า 118,451 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 18,000 ยูนิต เพิ่มขึ้น 7.1% มูลค่ารวม 69,780 ล้านบาท และ โครงการบ้านจัดสรร 13,756 ยูนิต ลดลง -16.4% มูลค่ารวม 48,671 ล้านบาท โดยมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จำนวน 6,029 ยูนิต เพิ่มขึ้น 165.8% มูลค่า 23,338 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุด 4,322 ยูนิต มูลค่ารวม 15,165 ล้านบาท และบ้านจัดสรร 1,707 ยูนิต มูลค่ารวม 8,174 ล้านบาท

ส่วนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่มีจำนวน 3,842 ยูนิต มูลค่า 14,175 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 2,129 ยูนิต  มูลค่ารวม 7,992 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรร 1,713 ยูนิต มูลค่ารวม 6,183 ล้านบาท ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวน 27,914 ยูนิต ลดลง –5.5% มูลค่า 104,276 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคาร 15,871 ยูนิต มูลค่ารวม 61,787 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรร 12,043 ยูนิต มูลค่ารวม 42,489 ล้านบาท

โดยทำเลอาคารชุดที่ขายได้มากที่สุด คือ ทำเลจอมเทียน มียอดขาย 499 ยูนิต และอัตราการดูดซับ 2.9% ต่อเดือน ทำเลบางแสน-หนองมน-บางพระ มียอดขาย 419 ยูนิต และอัตราการดูดซับ 7.9% ต่อเดือน ทำเลพัทยา-เขาพระตำหนัก ทำยอดขายได้ 400 ยูนิต มีอัตราการดูดซับ 3.4% ต่อเดือน และทำเลนิคมฯอมตะ-บายพาส ยอดขาย 400 หน่วย และอัตราการดูดซับ ร้อยละ 5.3 ต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทำเลจอมเทียนจะทำยอดขายได้มากที่สุด แต่ยังเป็นทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดถึง 5,239 ยูนิต คาดว่าจะต้องใช้เวลาขายทั้งหมด 31 เดือน เช่นเดียวกับทำเลพัทยา-เขาพระตำหนัก ซึ่งมีหน่วยเหลือขาย 3,579 ยูนิต จะต้องใช้เวลาขายทั้งหมด 26 เดือน รวมถึงทำเลนิคมฯอมตะ-บายพาส ซึ่งมีหน่วยเหลือขาย 2,099 ยูนิต จะต้องใช้เวลาขายทั้งหมด 16 เดือน

ดร.วิชัยกล่าวว่าการพัฒนาอสังหาฯในจังหวัดชลบุรี มีผู้ประกอบการจากทั้งส่วนกลาง ในพื้นที่ และภูมิภาคอื่นได้ให้ความสนใจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีฐานเศรษฐกิจทั้งจากการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ประกอบกับในช่วงปี 2563-2565 มีการเปิดตัวโครงการใหม่มีน้อย และตลาดได้มีการดูดซับอุปทานไปมากพอสมควร ทำให้ในไตรมาส 2-3 ปี 2566 ที่ผ่านมามีการเปิดโครงการอาคารชุดจำนวนมาก และได้ดึงยอดขายอาคารชุดในชลบุรีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*