“โฮมโปร” รักษาผู้นำตลาดธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจรอย่างเหนียวแน่น โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 61 กวาดรายได้รวม 15,900.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 627.77 ล้านบาท หรือ 4.11% มีผลกำไรสุทธิสำหรับงวดเท่ากับ 1,248.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 202.25 ล้านบาท หรือ 19.33% ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุม บริหารจัดการค่าใช้จ่าย การปรับเปลี่ยนกลุ่มสินค้าให้มีความครบครันทุกกลุ่ม

 นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2561 เท่ากับ 1,248.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 202.25.05 ล้านบาท หรือ 19.33% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักที่มาจาก รายได้รวม จำนวน 15,900.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 627.77 ล้านบาท หรือ 4.1% โดยเพิ่มขึ้นดังนี้

 

โดยรายได้จากการขาย จำนวน 14,874.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 604.06 ล้านบาท หรือ 4.23% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ทั้งธุรกิจ โฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย

 

บริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่า และบริการอีกจำนวน 499.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.02 ล้านบาท หรือ 3.75% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ นอกจากนี้ยังมีรายได้อื่น จำนวน 526.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.68 ล้านบาท หรือ 1.09 % โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากค่าบริการ “Home Service”

 

ด้านกำไรขั้นต้น สำหรับไตรมาส 1 ปี 2561 จำนวน 3,990.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 279.11 ล้านบาท หรือ 7.52% เมื่อเทียบกับปีก่อน  สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 26.01% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.83% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงธุรกิจเมกาโฮม ที่มีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น

 

ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร จำนวน 3,384.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.69 ล้านบาท หรือ 2.32% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักของการเพิ่มขึ้นที่เป็นตัวเงินเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือน ต้นทุนในการให้บริการแก่ลูกค้า ต้นทุนค่าขนส่ง และค่าซ่อมแซม อย่างไรก็ตามอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้น โดยลดลงจาก  23.18% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 22.75% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

นายคุณวุฒิ ยังกล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจและธุรกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 ว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวไปในทิศทางบวก โดยมีแรงขับเคลื่อนจากแรงส่งจากภาคอุตสาหกรรมจากครึ่งหลังของปี 2560 มีผลต่อเนื่องถึงภาคการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในพื้นที่ที่ได้รับอานิสงค์ดังกล่าวโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามราคาพืชผลทางการเกษตรมีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคที่อยู่ในภาคการเกษตรยังคงชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขายในบางจังหวัด รวมถึงธุรกิจ   เมกา โฮม ยังไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น งาน HomePro Expo วันช่วงวันที่ 16-25 มีนาคม 2561 และการจัด HomePro Fair ที่หาดใหญ่และขอนแก่น ซึ่งมียอดขายโดยรวมอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

 

“จากสถานการณ์ที่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า บริษัทฯ จึงได้มุ่งเน้นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพของอัตราการทำกำไรในแต่ละกลุ่มสินค้าให้ดีขึ้น เช่น การเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มสินค้า Direct Sourcing การเลือกสินค้าจากแหล่งต่างๆ ให้ได้ต้นทุนในราคาที่เหมาะสม การเพิ่มคุณภาพของสินค้าให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น การวางแผนการจัดซื้อสินค้า”

 

นอกจากนี้บริษัทฯได้มีการเปิดตัวบริการใหม่ HomePro Service Application ซึ่งใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารสำหรับซื้อบริการ Home service ผ่าน Mobile Application ครอบคลุมงานบริการมากกว่า 40 รายการ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการเติบโตในอนาคตอีกด้วย