SMART ผลประกอบการฟื้น ครึ่งปีแรกปี 2561 กวาดรายได้รวม 175.04 ล้านบาท โต 15.07% ขาดทุนลดฮวบ 61.85 % อยู่ที่ 18.41 ล้านบาท มองครึ่งปีหลังตลาดอิฐมวลเบาในประเทศคึกคัก EEC เมกะโปรเจค เอกชนลงทุนโครงการใหม่ หนุนความต้องการใช้งานเพิ่ม

 

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยว่าผลประกอบการงวดครึ่งแรกปี 2561 มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ขาดทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีรายได้รวม 175.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.92 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.07% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 152.12 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 18.41 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 48.26 ล้านบาท ลดลง 61.85 %

 

ส่วนงวดไตรมาส 2/61 โดยมีรายได้รวม 86.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.58% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 72.07 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 10.35 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 13.22 ล้านบาท ลดลง 21.68 %

 

สาเหตุที่ผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากปริมาณการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบาของโครงการภาครัฐขนาดกลาง การลงทุนโครงการของภาคเอกชน เริ่มมีการฟื้นตัว และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นและขาดทุนสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้น

 

ในช่วงครึ่งปีหลัง ทิศทางภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศ ยังมีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจคขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เริ่มดำเนินโครงการ อาทิ งานก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีน้ำเงิน และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยลงทุนในโครงการใหม่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบา ปรับตัวดีขึ้นและ SMART ยังคงเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักและผลักดันสินค้าผ่านทุกช่องทางการจำหน่าย ส่วนของโครงการภาครัฐ-เอกชนขนาดใหญ่ก็ยังเดินหน้าทำตลาดต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่

 

นอกจากนี้บริษัทยังคงเดินหน้าแผนขยายฐานลูกค้ารายย่อย ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมา ให้ครอบคลุมทั่วประทศมากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกระจายผลิตภัณฑ์ผ่านร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำในทุกภูมิภาค โดยปัจจุบันมีวางจำหน่ายในไทวัสดุจำนวน 42 สาขา โกลบอลเฮ้าส์ 17 สาขา ซึ่งบริษัทจะเพิ่มช่องทางจำหน่ายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งออกบล็อกมวลเบาตกแต่งที่มีลวดลายใหม่เพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้า

 

ส่วนตลาดในกลุ่มประเทศ AEC บริษัทได้รุกตลาดในประเทศ สปป.ลาวมากขึ้น โดยมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากความต้องการใช้งานในสปป.ลาวมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีออเดอร์สินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดในประเทศกัมพูชา ยังเติบโตดีมีปริมาณคำสั่งซื้อต่อเนื่อง คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 %