เพซฯ เผยหลังปลดหนี้ 50% จากกว่า 20,000 ล้านบาท เป็นบทเรียนเพิ่มความระวังในการพัฒนาโครงการ ประกาศทิศทางลงทุนรอบใหม่ปี 62 ยังเน้นคอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ย่านใจกลางเมือง รูปแบบแตกต่างจากคู่แข่ง มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน มูลค่าโครงการละ 5,000-10,000 ล้านบาท พัฒนาไม่เกิน 3 ปี มั่นใจไม่มีปัญหาขอสินเชื่อแบงก์ ด้านยูนิตเหลือขาย “นิมิต หลังสวน” อีก 10% คาดก่อสร้างแล้วเสร็จ ราคาขายปรับขึ้นเท่าตัวพุ่งไปที่ 600,000 บาท/ตารางเมตร

 

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ได้ปลดล็อกหนี้สินจาก 20,000 กว่าล้านบาท เหลือเพียง 10,000 ล้านบาท ก็ทำให้สถานะทางการเงินดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง ทั้งนี้จากบทเรียนและประสบการณ์ที่ผ่านมาจะช่วยให้ตนมีความระมัดระวังในการพัฒนาโครงการมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทฯ เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการก่อสร้าง ทำให้การพัฒนาล่าช้า การรับรู้รายได้ก็ช้าไปด้วย ทำให้ต้องเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย  ซึ่งที่ผ่านมาแนวทางการดำเนินงานของบริษัทฯ จะเน้นตลาดระดับไฮเอนด์ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้น ดังนั้นทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ไปจะเน้นการพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ย่านใจกลางเมืองเช่นเดิม แต่จะมีความแตกต่างจากคู่แข่ง และชัดเจนทั้งรูปแบบ และกลุ่มลูกค้ามากขึ้น รวมไปถึงการเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในโครงการ โดยจะพัฒนาครั้งละ 1 โครงการๆ ละประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้บริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการลงทุนโครงการใหม่ได้ในปี 2562 โดยเป็นการพัฒนาเองทั้งหมด ในรูปแบบของคอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ ที่ใช้ระยะเวลาในการพัฒนาไม่เกิน 3 ปี ต่างจากโครงการ  “มหานคร” ที่ใช้เวลาในการพัฒนาประมาณ 10 ปีขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดิน

 

 

“สำหรับแหล่งเงินทุนในการพัฒนาโครงการ เรามั่นใจว่ายังมีความสามารถในการขอสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการได้อยู่ เนื่องจากลดหนี้ลงไปได้มาก นอกจากนี้สถาบันการเงินจะพิจารณาให้สินเชื่อตามศักยภาพของทำเลในการพัฒนาโครงการ จึงมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”นายสรพจน์กล่าว

 

ด้านการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 คาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาประมาณ 8,000 ล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน(Backlog) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 1,040 ล้านบาท จาก 4 โครงการ ได้แก่ 1.เดอะ ริทซ์-คาร์ลตันเรสซิเดนเซส บางกอก มียอดBacklog  2,062 ล้านบาท และมียูนิตรอขายอีก 301 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถโอนห้องที่เหลือทั้งหมดได้ภายในไตรมาส 4 ปี2561 นี้  2.โครงการมหาสมุทร วิลล่า มียอด Backlog  649 ล้านบาท และมีวิลล่ารอขายมูลค่าประมาณ 3,095 ล้านบาท  3.โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90% เป็นยอดBacklogคิดเป็นมูลค่า 6,914 ล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1,086 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มสร้างเสร็จและโอนในช่วงไตรมาส 3 และ 4.โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส  มียอดBacklog792 ล้านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2,208 ล้านบาท โดยทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และโครงการวินด์ เชลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและทยอยโอนรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2562

 

 

สำหรับความคืบหน้าโครงการ “นิมิต หลังสวน” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ เป็นคอนโดฯ สูง 54 ชั้น ขนาด 78-640 ตารางเมตร จำนวน 178 ยูนิต ราคาขายเมื่อเปิดตัวครั้งแรกปี 2558 อยู่ที่ 320,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 25-250 ล้านบาทมูลค่าโครงการกว่า 8,000 ล้านบาท โดยสามารถปิดการขายได้ 90%  คิดเป็นมูลค่า 6.914 พันล้านบาท ลูกค้าที่ซื้อเป็นคนไทย สัดส่วน 90% และต่างชาติ 10% สำหรับจำนวนยูนิตที่เหลือสัดส่วน 10% จะเปิดขายอีกครั้งเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถสร้างถึงชั้น 50 ภายในปลายปี 2561 นี้  และแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 3-4/2562 ซึ่งราคาขายอาจจะปรับขึ้นไปที่ 600,000 บาท/ตารางเมตร เนื่องจากห้องที่เหลือขายเป็นห้องแบบเพนท์เฮาส์ และจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป