ซันเคียว โฮมฯรุกอสังหาฯไทยจับมือ“เคฮัง เรียลเอสเตท” ปั้นคอนโดหรูโครงการที่ 2 แบรนด์ใหม่ “SYMYS Sukhumvit 61” มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท ประกาศปักหมุดผุดโครงการทำเลสุขุมวิทปีละ 1-2 โครงการ พร้อมเปิดโอกาสพันธมิตรร่วมทุนต่อเนื่อง ด้านบิ๊กเคฮังฯ ตั้งเป้าขยายการลงทุนนอกประเทศภายในปี70 รวมมูลค่า 14,232 ล้านบาท
นางโสภิดา โองาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันเคียว โฮม (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯดังกล่าวได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อลงทุนอสังหาฯ โดยรูปแบบการพัฒนามีทั้งพัฒนาเองและร่วมทุนกับพันธมิตร  โดยเร่ิมจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่สุขุมวิท ตั้งแต่ปี 2558 คือ โครงการโมนีค สุขุมวิท 64 มูลค่าโครงการ 954 ล้านบาท ซึ่งปิดการขายได้ภายใน 1 ปี และรับรู้รายได้ 100%

 

ต่อมาเมื่อปี2561 ที่ผ่านมาได้ร่วมทุนกับ บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด ในเครือเคฮัง กรุ๊ป เป็นเจ้าของรถไฟฟ้าสายเคฮังเชื่อมโยงโอซาก้า-เกียวโต และอีกหลากหลายธุรกิจในแถบคันไซ เพื่อพัฒนาโครงการ “The FINE Bangkok ทองหล่อ-เอกมัย”  ในสัดส่วน 60:40    มูลค่าโครงการประมาณ 1,680 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายได้แล้ว 80%

 

ล่าสุด บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัทเคฮังฯ เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการที่ 3 ของบริษัท แต่เป็นการร่วมทุนโครงการที่ 2 กับเคฮังฯ ด้วยการตั้งบริษัท โสภิดา1964 จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเกือบ 600 ล้านบาท  โดยบริษัทถือหุ้น 60% และกลุ่มเคฮังฯถือหุ้น 40% พัฒนาคอนโดฯภายใต้แบรนด์ใหม่ “ซิมมิส สุขุมวิท 61” (SYMYS Sukhumvit 61) ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 1 ไร่เศษ ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Timeless Identity in Symmetry ประกอบด้วยอาคารสูง 7 ชั้น 1 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 33-88 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 7.5-24 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 220,000 – 240,000 บาท/ตารางเมตร  จำนวน 109 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โดยบริษัทจะเปิดพรีเซลในวันที่ 3-4 สิงหาคม ซึ่งมอบหมายให้บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นผู้บริหารงานขาย  คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 50%  และถึงสิ้นปีจะมียอดขายประมาณ  70% และคาดว่าจะปิดการขายได้ภายในปี 2563

“ปัจจุบันโครงการซิมมิส ได้ผ่านการอนุมัติการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก่อสร้างแล้วคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 24 เดือนข้างหน้าหรือในปี 2564 และคาดว่าสิ้นปี 2562 จะมียอดขายจาก โครงการ The FINE Bangkok ทองหล่อ-เอกมัย และโครงการซิมมิส กว่า 1,600 ล้านบาท” นางโสภิดา กล่าว

นางโสภิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯนับจากนี้จะเน้นการพัฒนาปีละประมาณ 1-2 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยยังเน้นทำเลสุขุมวิทเป็นหลัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ดินที่ได้มาว่าจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ไหน ซึ่งยังคงใช้ 3 แบรนด์หลัก คือ โมนีค ระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป , The FINE ระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป และซิมมิส ระดับราคา 7 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งยังเปิดโอกาสที่จะร่วมทุนกับกลุ่มเคฮังฯและพันธมิตรอื่นๆอย่างต่อเนื่อง

ส่วนโครงการแนวราบก็ให้ความสนใจที่จะพัฒนาเช่นกัน แต่คงเป็นในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า ขณะนี้คงเน้นการพัฒนาโครงการในรูปแบบของคอนโดฯก่อน

ด้านนายโยชิฮิโกะ มาเอดะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวว่า เพื่อการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เคฮัง กรุ๊ป ได้ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดศักยภาพแถบเอเชีย โดยวางเป้าหมายมูลค่าสินทรัพย์ในต่างประเทศ (Overseas Asset Size) ณ ปี 2570 ที่ 50,000 ล้านเยน (ประมาณ 14,232 ล้านบาท) สำหรับ เคฮัง กรุ๊ป หรือ บริษัท เคฮัง โฮลดิ้งส์ จำกัด ประกอบด้วยบริษัทย่อยกว่า 50 บริษัทในการดำเนิน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจด้านคมนาคม เช่น รถไฟฟ้าสายเคฮัง เชื่อมโยงโอซาก้า-เกียวโต 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3.ธุรกิจค้าปลีก 4.ธุรกิจโรงแรมและการพักผ่อน ล่าสุด ปีงบการเงิน 2561 (เม.ย.2561-มี.ค.2562) มีรายได้รวมทั้งเครืออยู่ที่ 326,000 ล้านเยน หรือประมาณ 93,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเดินหน้าการลงทุนของ เคฮัง กรุ๊ป ในต่างประเทศ มีมูลค่าการลงทุนธุรกิจในต่างประเทศทั้งหมดกว่า 3,300 ล้านเยน (ประมาณ  942 ล้านบาท) อาทิ โครงการที่อยู่อาศัยในไทยภายใต้การร่วมทุนกับพันธมิตร”ซันเคียว โฮม” และโครงการกอล์ฟวิลล่าในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย

“ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีปัจจัยต่างๆ โดดเด่นมากที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน มีความชอบและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับคนญี่ปุ่น มีการลงทุนสะสมจากบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมหาศาล เราเองยังเป็นพันธมิตรพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพร่วมกับ บริษัท ซันเคียว โฮม ในประเทศญี่ปุ่น มาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจในการร่วมทุนกับซันเคียว โฮมฯซึ่งมีโนว์ฮาวและวิสัยทัศน์คล้ายคลึงกัน เพื่อนำจุดเด่นเรื่องความใส่ใจ ความปราณีต โนว์ฮาว และมาตรฐานระดับพรีเมียมสไตล์ญี่ปุ่น มาเติมเต็มความฝันและความหวังในการมีที่อยู่อาศัยคุณภาพของคนไทย” นายโยชิฮิโกะ กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*