สิริเวนเจอร์สฯ เปิดแผนครึ่งปีหลัง 62 เตรียมทาบสตาร์ทอัพไทย-เทศ หวังลงทุนใน 4 ด้าน มูลค่าลงทุน 600 ล้านบาท ล่าสุดผนึก สวทช.-3 สตาร์อัพ นำนวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับ Fling , โดรนเดลิเวอรี่ และ SoundEye นำร่องทดลองใช้ในอาณาจักร T77 ระยะเวลา 6-9 เดือน หวังตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่และสังคมที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล
นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด (SIRI VENTURES) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ได้ประกาศแผนจัดพื้นที่เฉพาะสำหรับทดสอบ พัฒนา และประมวลเสมือนจริงของเหล่าสตาร์ทอัพเพื่อต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยสำหรับลูกบ้านแสนสิริ ภายใต้ชื่อ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา รวมแล้ว 9 สตาร์ทอัพ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท

 

และในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ บริษัทฯยังมีการเจรจากับสตาร์ทอัพไทยและต่างประเทศอยู่หลายราย ซึ่งบริษัทฯยังมีแผนจะลงทุนในสตาร์ทอัพใน 4 ด้าน ภายใต้งบลงทุน 600 ล้านบาท ได้แก่

1.เทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง (ConsTech) ในสัดส่วน 20% ของงบลงทุน มุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง (QC)

2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainablity) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดและการกำจัดของเสียที่มีประสิทธิภาพ

3.เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ในสัดส่วน 20% มุ่งเน้นด้านรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่และ Tokenization

4.เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและสุขภาพ (LivingTech & HealthTech) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยความสะดวกสบาย โดยเฉพาะเรื่องการใช้เสียง ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพหลายรายที่ผ่านการพิจารณามาถึงขั้นทดสอบความเป็นไปได้ (Proof of Concept)

ซึ่งขณะนี้บริษัทเจรจาชัดเจนแล้ว 2 ราย  โดยจะมีการเปิดตัวเพื่อนำระบบของสตาร์ทอัพทั้ง 2 มาทดสอบในแซนด์บ๊อกซ์ใน T77 ในระยะต่อไป โดยที่สตาร์ทอัพที่บริษัทจะมุ่งเน้นในการลงทุนมากขึ้นจะเป็นสตาร์ทอัพของไทย เพราะบริษัทมีความต้องการที่จะช่วยพัฒนาสตาร์ทอัพไทยให้มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น และจะนำระบบต่างๆของสตาร์ทอัพไทยเข้ามาใช้ในโครงการของแสนสิริฯมากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมาบริษัทเน้นไปที่การลงทุนและนำระบบต่างๆของสตาร์ทอัพต่างประเทศเข้ามาใช้เป็นจำนวนมากแล้ว

ส่วนเงินลงทุนของ SIRI Venture ยังคงมาจากแสนสิริฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนกว่า 90% ที่ทางแสนสิริจะต้องมีการเพิ่มทุนเมื่อบริษัทมีความจำเป็นในการใช้เงินเพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพที่บริษัทสนใจและมองเห็นโอกาสในการลงทุน ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)หรือSCB ปัจจุบันสัดส่วนการถือหุ้นลดลงน้อยกว่า 10% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาธนาคารไทยพาณิชย์ฯไม่ได้มีการเพิ่มทุนเข้ามาทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลง โดยปัจจุบันการลงทุนของบริษัทจะมองไปถึงการที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทต่อการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตใน 3 ด้าน

โดยในด้านของการเข้ามามีบทบาทในการอยู่อาศัยที่ปัจจุบันลูกบ้านมีความต้องการด้านบริการที่สะดวกสบายมากขึ้น และมองหาความคุ้มค่าและประหยัด ซึ่งมาจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ด้านของการมีบทบาทของการบริหารจัดการทำเลที่ตั้งของโครงการ ที่จะต้องมีการนำระบบต่างๆเข้ามาใช้การเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในโครงการให้มีความปลอดภัยและมีความสะดวกสบายสำหรับลูกบ้านในการเข้า-ออกโครงการ และการเข้ามามีบทบาทในการด้านการขนส่งต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทต้องคำนึงถึงเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านในการเดินทางตั้งแต่ต้นทางไปถึงจุดหมาย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกับแสนสิริในการพัฒนาและขายโครงการต่างๆ

ล่าสุดบริษัทฯได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ 3 สตาร์ทอัพ  เพื่อเข้าร่วมพัฒนาและทดลองใช้นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคตในช่วงครึ่งปีหลัง  ภายในพื้นที่ SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox ที่โครงการ T77

สำหรับนวัตกรรมที่จะเข้ามาพัฒนาและทดลองใช้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่

1.รถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Car) ภายใต้ความร่วมมือกับ AIROVR สตาร์ทอัพผู้พัฒนาระบบสำหรับรถยนต์ไร้คนขับสัญชาติไทย และ สวทช. ในฐานะหน่วยงานชั้นนำของประเทศในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ โดย AIROVR จะพัฒนาระบบที่จำเป็นสำหรับ   “รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ” ในการขนส่งผู้โดยสารจากโครงการที่อยู่อาศัยไปยังรถไฟฟ้า (First Mile Transportation)     และการขนส่งจากรถไฟฟ้ากลับมายังโครงการที่อยู่อาศัย (Last Mile Transportation) ขณะที่ สวทช. จะช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่จำเป็น ได้แก่ ระบบ Drive-by-Wire การบูรณาการเซนเซอร์สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ            ระบบบ่งชี้ตำแหน่งและการนำทาง ระบบควบคุมและสั่งการ และ แผนที่ 3D ความละเอียดสูง เพื่อให้สามารถวิ่งได้จริงในโครงการ T77

 

โดยในเบื้องต้นจะนำมาทดลองก่อน 1 คัน ราคา 100,000 กว่า ส่วนระบบ Sensor ที่ติดตั้งบนตัวรถ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท สามารถนั่งได้คันละ 2 คน ความเร็วที่ใช้ไม่เกิน 18 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสวทช.จะนำรถกอล์ฟ ไร้คนขับ นั่งได้ 5 คน มาทดลองใช้อีก 1 คัน โดนคาดว่าจะเริ่มนำมาทดสอบได้ในไตรมาส4/2562 ถึงไตรมาส2/2563

“เรื่องการขนส่ง First Mile and Last Mile Transportation เป็นเรื่องที่เริ่มเกิดขึ้นจริงแล้วในต่างประเทศ เรามองเห็นโอกาสที่จะร่วมส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริงในไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายของการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต เริ่มต้นจากการนำร่องทดลองวิ่งเฉพาะภายในโครงการ T77 ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ซึ่งถือเป็นการทดลองวิ่งรถยนต์ไร้คนขับเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในไทย” นายจิรพัฒน์ กล่าว

 

2.โดรน เดลิเวอรี่ (Drone Delivery) ภายใต้ความร่วมมือกับ Fling สตาร์ทอัพผู้พัฒนาโดรนสัญชาติไทย โดย Fling จะนำโดรนมาใช้ทดลองส่งสินค้าจาก Habito Mall ไปยังโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริในพื้นที่โครงการ T77 คาดว่าจะเริ่มทดลองได้จริง ประมาณไตรมาส1/2563 หลังจากผ่านขั้นตอนการขออนุญาตหน่วยงานต่าง ๆที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการบินพลเรือน ,กทม. และเจ้าของพื้นที่ในแต่ละโครงการ เป็นต้น

3.การดูแลรักษาความปลอดภัย (Security) ภายใต้ความร่วมมือกับ SoundEye สตาร์ทอัพผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมเทคโนโลยีเรียนรู้เสียงต่างๆเพื่ออาคารอัจฉริยะ (Smart Building) รายแรกของโลก จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งที่ผ่านมา ไมโครโฟนเซนเซอร์ของ SoundEye ได้เข้าไปมีส่วนช่วยตรวจจับเสียงผิดปกติ อาทิ เสียงร้องขอความช่วยเหลือ            เสียงน้ำรั่วซึม เสียงปืน ในอาคารประเภทต่าง ๆ มาแล้วหลายแห่งในสิงคโปร์ รวมถึงในสนามบินชางฮี โดยจะเริ่มทดลองในพื้นที่โครงการ T77 ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งถือเป็นการทดลองใช้ระบบของ SoundEye ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ทยอยนำนวัตกรรมดังกล่าวไปติดตั้งในโครงการ ONTX พหลโยธิน และ QUATTRO by Sansiri ย่านทองหล่อ อีกด้วย

“หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้จริงในอนาคต เราอาจเห็นรถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงโดรนที่เป็น Air Taxi   เข้ามา Disrupt เทรนด์การใช้ชีวิต (Living Trends) ให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจุดประกายแนวทางการยกระดับวงการขนส่งไทย และขณะเดียวกัน ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เพราะการเดินทางของผู้บริโภคจะสะดวกสบายมากขึ้น จนทำเลไม่ใช่ปัจจัยหลักของการเลือกที่อยู่อาศัย     ดังนั้นการเป็นพันธมิตรระหว่าง สิริ เวนเจอร์ส สวทช. และสตาร์ทอัพทั้ง 3 ด้านในครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญ” นายจิรพัฒน์  กล่าว

โดยการทดสอบนวัตกรรมทั้ง 3 รูปแบบนั้น จะใช้ระยะเวลาประมาณ 6-9 เดือน ซึ่งลูกค้าแสนสิริฯจะไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด หากนวัตกรรมรูปแบบไหนได้รับการตอบรับดีก็จะมีการเจรจารายละเอียดอีกครั้งกับกลุ่มสตาร์ทอัพ และหากนวัตกรรมใด ไม่ได้รับการตอบรับ บริษัทฯจะให้โอกาสกับสตาร์ทอัพในการนำไปปรับปรุงใหม่ หลังจากนั้นค่อยมาเจรจากันอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 การดำเนินงานของบริษัทถือว่าประสบความสำเร็จและมีความคืบหน้าอย่างมากในหลายด้าน สำหรับในด้านการลงทุน (Investment)สตาร์ทอัพหลายรายที่บริษัทเข้าไปลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพึงพอใจ อาทิ

 Semtive สตาร์ทอัพผู้พัฒนากังหันลมพลังงานไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย ได้เริ่มทยอยส่งมอบกังหันลมสำหรับใช้ในครัวเรือนมาให้กับบริษัทแล้ว

Neuron สตาร์ทอัพ e-Scooter สัญชาติสิงคโปร์ เริ่มมีให้บริการแล้ว             ในโครงการดีคอนโด พิงค์ และขยายการให้บริการไปในพื้นที่พร้อมพงษ์-อ่อนนุช ตลอดจนในพื้นที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่

OnionShack ได้พัฒนา “น้องแสนรู้” หุ่นยนต์พนักงานคนใหม่ของแสนสิริที่จะช่วยเข้ามาตอบเรื่องนวัตกรรมที่      The Cloud ชั้น 3 สยามพารากอน

สำหรับด้านระบบนิเวศสตาร์ทอัพและพันธมิตร (Ecosystem & Partners) บริษัทได้สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) มหาวิทยาลัยชั้นนำซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดของสตาร์ทอัพสิงคโปร์ ด้วยการพาสตาร์ทอัพที่โดดเด่นของไทยไปร่วมโชว์เคสและขึ้นพูดบนเวทีระดับภูมิภาค ช่วยส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยด้าน PropTech          และ LivingTech ให้เข้าถึงโอกาสในระดับภูมิภาค พร้อมกันนี้ สิริ เวนเจอร์ส ยังเปิดโอกาสให้พนักงานแสนสิริก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพและเจ้าของธุรกิจด้วยเงินทุนเริ่มต้นทำธุรกิจโดยให้การสนับสนุนทั้งด้านเวลา ทรัพยาการ การให้คำปรึกษาและเงินทุนเบื้องต้นกว่าหลายล้านบาทต่อทีม กับโครงการ THE FOUNDER

ขณะที่ด้านการวิจัยและพัฒนา (Lab & Development) บริษัทยังคงตอกย้ำความมุ่งมั่นของแสนสิริในการมอบบริการภายใต้แนวคิด “บ้านที่ได้มากกว่าบ้าน” และการเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่ครอบคลุมทุกมิติเพื่อตอบโจทย์ลูกบ้าน ผ่านฟังก์ชั่นใน Sansiri Home Service Application (HSA) เช่น Homestore แพลตฟอร์มออนไลน์แมกกาซีนที่ผู้อ่านสามารถซื้อสินค้าที่ชอบได้ การจับมือกับเครือสมิติเวช ขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมด้านสุขภาพแก่ลูกบ้านผ่าน HSA การเปิดให้บริการด้าน Payment เพื่อให้ลูกบ้านสามารถผ่อนดาวน์ตรงกับธนาคาร รวมไปถึงค่าส่วนกลาง โดยเชื่อมต่อตรงกับแอพธนาคารดังไม่วาจะป็น KPlus และ SCB Easy การติดตั้งเซนเซอร์คุณภาพอากาศกว่า 60 พื้นที่ในโครงการทั่วประเทศ เพื่อบอกสภาพค่าฝุ่น ค่าความชื้นและข้อมูลเชิงลึก พร้อมให้คำแนะนำด้านสุขภาพตามสภาพอากาศแก่ลูกบ้าน ขณะเดียวกัน กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา Smart Meter เพื่อให้ลูกบ้านสามารถตรวจสอบสถานะการใช้น้ำประปาและไฟฟ้าของตัวเองได้ตลอดเวลา

“เราเชื่อมั่นว่า พันธกิจหลักทั้ง 3 ด้านที่ สิริ เวนเจอร์ส ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จะเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวล้ำไปในทางที่ดี โดยเราจะยังคงทำงานร่วมกับแสนสิริอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาและผลักดันสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัยจนสำเร็จใช้งานได้จริง ตลอดจนตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่และสังคมที่เปลี่ยนไป เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยแห่งอนาคตให้แก่ลูกบ้านแสนสิริอย่างรอบด้าน” นายจิรพัฒน์ กล่าว

 

ด้าน ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า  สำนักงานได้มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่มาอย่างต่อเนื่อง นับจากเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า จนมาถึงรถยนต์ไร้คนขับ นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อผลักดันนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ ในการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมประเทศไทยต่อการเข้ามาของเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในอนาคตอันใกล้นี้ อีกทั้งยังได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เช่น ศูนย์เฉพาะทางด้านระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (Focused Center on Rail and Modern Transport) ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและศูนย์ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เป็นต้น ความร่วมมือกับ บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด และ AIROVR ในวันนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่จะได้นำเทคโนโลยีที่ สวทช. วิจัยและพัฒนา มาสาธิตการใช้งานในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อประโยชน์แก่ทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน อีกทั้งการจัดทำ 3D Mapping ของโครงการ T77 สามารถนำไปเชื่อมโยงกับ “รถยนต์ไร้คนขับ” ของ AIROVR และ “โดรนเดลิเวอรี่” ของ Fling เพื่อนำไปใช้ในโครงการนำร่องได้อย่างเป็นรูปธรรม

“วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มาร่วมมือกับ สิริ เวนเจอร์ส และพันธมิตรสตาร์ทอัพ ทำให้โครงการนำร่องนี้เกิดขึ้นได้จริงเป็นครั้งแรกของไทย เพราะเรื่องรถยนต์ไร้คนขับและโดรน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกแล้ว หลายๆ ประเทศกำลังศึกษาและพัฒนาทั้ง 2 เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม หากวันนี้เรามีก้าวแรกที่ดี เชื่อว่าเรายังสามารถพัฒนาและประยุกต์รถยนต์ไร้คนขับและโดรนไปพลิกโฉมการใช้ชีวิตของผู้คนได้อย่างมหาศาล” ดร.เจนกฤษณ์ กล่าวในที่สุด

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*