ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี63 ยังผจญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน เร่งปรับตัวรับการแข่งขัน รับมาตรการรัฐช่วยเหลือได้ระดับหนึ่ง แต่เน้นช่วยลูกค้ากู้สินเชื่อผ่านหวังลดยอดReject เดินหน้ารุกอสังหาฯแนวราบ โดยเฉพาะกทม.โซนเหนือ ดีมานด์ขานรับต่อเนื่อง ปักธง 7 โครงการ มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ดักกำลังซื้อในพื้นที่ มั่นใจทั้งปียอดรับรู้รายได้ตามเป้า 4,650 ล้านบาท
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี2563 ว่า ยังคงผจญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัจจัยลบจากนอกประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯมีความเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวรับการแข่งขันของธุรกิจ โดยเฉพาะโครงการแนวราบ จะเน้นการพัฒนาเป็นเฟส และทยอยก่อสร้างเฟสละประมาณ 30 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านสั่งสร้างประมาณ 15-20 ยูนิต และบ้านพร้อมอยู่ 10 ยูนิต เพื่อลดความเสี่ยง รวมไปถึงปรับระบบไอทีให้สอดคล้องกับยุคสมัย และพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถตอบโจทย์กับเทรนด์ใหม่ๆได้

สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 3/2562 ที่ผ่านมามองว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากที่ต้องปรับตัวอย่างมากในไตรมาส 2 จากมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ( Loan to Value : LTV) อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 4/2562 ตลาดรวมก็น่าจะยังทรงตัว ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจของโลกและในประเทศที่ยังมีแนวโน้มทรงตัว และผลจากมาตรการ LTV ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง  ขณะที่ปัจจัยบวกของตลาดที่มีอยู่ในขณะนี้เป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถกู้บ้านได้ง่ายขึ้น และในไตรมาสสุดท้ายถือเป็นช่วง High Season ของการซื้อบ้านจากลูกค้าที่ได้ปรับเงินเดือนและโบนัส จะเริ่มมองหาการซื้อที่อยู่อาศัยบวกกับมาตรการรัฐที่ออกมา ลดค่าธรรมเนียมโอน และจดจำนอง รวมถึงวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ย พิเศษจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)ทั้งนี้จึงเป็นแรงบวกที่จะช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ขณะที่ในส่วนของรัฐบาลได้พยายามใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการชิม ช้อป ใช้ มาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเร่งรัดก่อสร้างโครงการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจยังคงขยายตัวดีขึ้น แต่ปัญหาสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้คือ ความเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ บริษัทฯ จึงต้องพยายามหาแนวทางโดยการให้คำปรึกษากับลูกค้าเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน เพื่อการซื้อบ้านและการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมโครงการบ้านในฝันของกระทรวงการคลัง เพื่อช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2562 และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการตัดสินใจซื้อโครงการที่รัฐให้การสนับสนุน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า

“มาตรการรัฐที่ประกาศการลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน และลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทนั่น มองว่าก็ช่วยผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่ให้ความสำคัญก่อนเป็นลำดับแรกคือ การช่วยให้ลูกค้าสามารถกู้สินเชื่อจากแบงก์ได้ เพราะปัจจุบันแบงก์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้มียอดReject ที่สูงขึ้น 23-24% ต่างจากเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มียอด Reject ประมาณ 18%” นายชูรัชฏ์ กล่าว

นายชูรัชฏ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯยังเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นหลัก ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยเฉพาะทำเลโซนเหนือของกรุงเทพฯที่แม้จะมีการแข่งขันที่สูง มีซัพพลายใหม่ประมาณ 7,000-9,000 ยูนิต/ปี แต่ขณะเดียวกันดีมานด์ก็ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องเช่นกันโดยมองว่าศักยภาพพื้นที่ในทำเลรังสิตตั้งแต่ลำลูกกา รังสิต-องครักษ์ และคลองหลวง ถือเป็นพื้นที่ของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความสะดวกในด้านการเดินทางจากโครงข่ายคมนาคมต่างๆ ขณะที่ในปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้งสายสีแดงธรรมศาสตร์ รังสิต-บางซื่อ และรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-คูคต ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต และมีแผนจะขยายเส้นทางไปถึงถนนวงแหวน จะทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เช่น การขยายสนามบินดอนเมือง รวมถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต และห้างเดิมที่มีให้บริการอยู่แล้วจะทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่มีความพร้อมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ทำเลรังสิตกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง

“ปัจจุบันผู้บริโภคที่ซื้อโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลรังสิตจะเป็นคนที่ทำงานอยู่ในแหล่งงานขนาดใหญ่ กลุ่มแรกได้แก่ กลุ่มที่อยู่ในอุตสาหกรรมการบินและธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของทำเลนี้ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในแหล่งงานอื่นๆ ในพื้นที่ เช่น คนที่ทำงานในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ศูนย์ราชการ มหาวิทยาลัย ตลาดไท  รวมถึงแหล่งงานนอกพื้นที่โดยอาศัยการเดินทางด้วยถนนวงแหวน และเมื่อรถไฟฟ้าทั้ง 2 เส้นทางเปิดให้บริการจะยิ่งขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ในเมืองมากขึ้น” นายชูรัชฏ์

ทั้งนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในทำเล ลำลูกกา-รังสิต ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในเมือง ซึ่งโครงการทาวน์โฮมของบริษัทฯ ในทำเลรังสิต ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท ได้ห้องนอน 3 ห้องนอน และที่จอดรถ 2 คัน ส่วนบ้านราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 2 ล้านกว่า – 6 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทำเลรังสิต เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีโครงการบ้านจัดสรรเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก   ทำให้การแข่งขันยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงต้องหาจุดขายในการพัฒนาสินค้าให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ โดยที่ผ่านมาบริษัทฯให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ Eco Living มาเป็นแนวคิดหลักในการพัฒนาตัวสินค้า เช่น การมีช่องแสงภายในบ้านเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า การใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ การใช้ผลิตภัณฑ์หน้าต่างประตูที่ช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน ส่วนภายในโครงการได้นำระบบ Reuse น้ำ เพื่อดูแลสภาพแวดล้อมของโครงการ มีการใช้ระบบ Solar Cell ในพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งในฐานะที่บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาโครงการจึงต้องพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ในเรื่องเหล่านี้ ในการสร้าง community ให้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งลูกค้าก็ให้ความสนใจและตื่นตัวในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทฯ มีโครงการที่เปิดตัวในพื้นที่รังสิตมากถึง 10 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและยังมีโครงการที่บริษัทฯมีแผนจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกเช่นกัน โดยปัจจุบันทำเลดังกล่าวมีโครงการของลลิลฯที่เปิดการขายเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา จำนวน 7 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลองหลวง
2. โครงการไลโอ บลิสซ์ ลำลูกกา-คลอง 2
3.โครงการบุรีรมย์ รังสิต-ลำลูกกา คลอง 4
4. โครงการลลิล ทาวน์ ลำลูกกา คลอง 4-5
5. โครงการลลิล ทาวน์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 6
6. โครงการลลิล ทาวน์ รังสิต-คลอง  2
7. โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลอง 4

สำหรับโครงการ “ลลิล ทาวน์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 6 “ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของ ทาวน์เฮาส์ ขนาด 17.6-22 ตารางวา ราคา 1.79-2.2 ล้านบาท จำนวน 250 ยูนิต และบ้านเดี่ยว ขนาด 35-56 ตารางวา ราคา 2.9-6 ล้านบาท จำนวน 110 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรวมแล้วประมาณ 140 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 300 ล้านบาท

“ลำลูกกา คลอง 6 ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพในอนาคต ปัจจุบันเหลือในท้องถิ่น ประมาณ 30% อันเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้นโครงการในทำเลนี้จึงมีแต่ผู้ประกอบการรายกลาง-ใหญ่ ประมาณ 70% เพราะแบรนด์มีความน่าเชื่อถือ และสามารถพัฒนาสินค้าได้ตอบโจทย์มากกว่า แต่ก็ยอมรับว่ายอดขายส่วนใหญ่จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่หวือหวาเหมือนเช่นที่ผ่านมา อันเนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ สำหรับราคาที่ดินในย่านนี้หากติดถนนใหญ่ ราคาพุ่งสูงถึง 10 ล้านบาท/ไร่ แต่ถ้าอยู่ด้านในซอยลึกเข้ามาราคาจะอยู่ที่ประมาณ 4-5 ล้านบาท/ไร่” นายชูรัชฏ์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2562 ที่ผ่านมา มียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 1,214 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า 40% และขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 27%  ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี ส่งผลให้ในไตรมาส 3 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 239 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 60% และขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 38% ส่วนยอดรับรู้รายได้ในช่วงของ 9 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 3,393 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 642 ล้านบาท ขยายตัว 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมั่นใจว่าจากความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ตามนโยบายและกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ บริษัทฯ จะสามารถทำผลงานในปีนี้ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งยอดรับรู้รายได้เอาไว้ที่ 4,650 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*