“กูรู”แนะทางรอดเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติไวรัสโคโรนาระบาด งบประมาณปี 63 สะดุด แนะทุกส่วนร่วมมือเร่งสร้างความเชื่อมั่น เตือนรับมือความผันผวนจากนโยบาย
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการ ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยในงานสัมมนาสาธารณะ ภายใต้หัวข้อ How toรอด…รอดอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง” ซึ่งจัดโดยผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง(บสส.)สถาบันอิศรา  ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 6 อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน)ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 นี้น่าจะเติบโตต่ำกว่า 2%  จากคาดการณ์เดิมมองว่าปีนี้จะเติบโตได้ในระดับ 2.8%   หลักๆมาจากผลกระทบจากไวรัสโคโรนาที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง  และงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ล่าช้า กว่าจะเบิกจ่ายได้น่าจะเดือนมิ.ย. 2563 รวมถึงปัญหาภัยแล้ง

ทั้งนี้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา  อาจจะส่งผลกระทบให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง 2 ล้านคน  และส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ ปรับลดลง 8 แสนคน เฉพาะผลกระทบจากการท่องเที่ยวจะทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ลดลงเหลือ 2%  เมื่อรวมผลกระทบจากภัยแล้ง งบประมาณล่าช้า จึงมีโอกาสที่จะต่ำกว่า 2%

“ผลกระทบไวรัสโคโรนา เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องสร้างความเชื่อมั่น เพราะไม่ได้กระทบเฉพาะการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิต เพราะชิ้นส่วนบางอย่างที่นำเข้าจากจีนต้องหยุดชะงัก ซึ่งมองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ ไม่ได้มีเฉพาะข่าวร้ายเท่านั้น ยังมีข่าวดีในหลายเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ยังเติบโตอยู่ จากคากการณ์ของสำนักจต่าง  บอกได้ว่าไม่มีวิกฤติ เช่นเดียวกับในประเทศที่เศรษฐกิจยังเติบโต แม้จะชะลอตัว บวกกับแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลง ปีนี้ไม่น่าจะเกิน 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล   อีกทั้งเงินบาทยังเริ่มอ่อนค่า ล่าสุดอยู่ที่ระดับ  31.2 บาทต่อดอลลาร์(31 ม.ค.) ราคาสินค้าเกษตรเริ่มขยับ แม้ว่าจะมีปัญหาภัยแล้งทำให้เราได้อานิสงส์ไม่ได้เต็มที่  สุดท้ายคือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยตลาดโลกรวมถึงไทยปรับลดลง ” ดร.กิริฎา กล่าว

ส่วนเรื่องงบประมาณที่ล่าช้านั้น  ไม่ได้มีความกังวลมากนัก เพราะสามารถใช้งบพลางปีไปก่อนได้ แต่ที่น่าห่วงคืองบลงทุน ที่จะออกมาล่าช้าประมาณเดือนมิถุนายน  ซึ่งอยากให้เร่งเบิกจ่ายให้ได้มากกกว่า 70%  ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

 

ด้านนายชัยยงค์  สัจจพานนท์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.  กล่าวว่า การรับมือกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนา ทุกภาคส่วนดำเนินการได้ค่อนข้างดี โดยเอกอัครราชทูต และเจ้าหน้าที่จากปักกิ่ง 3 ท่านจะเดินทางไปเมืองอู่ฮั่น  เพื่อดูแลคนไทยที่อาศัยอยู่ที่เมืองดังกล่าว แม้กลับไปต้องถูกกักตัว 14 วัน  ส่วนทางการไทยจะจัดไปรับคนไทยในอู่ฮั่นวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 นี้ ซึ่งการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขเราได้รับคำชมจาก WHO มาโดยตลอด

สำหรับสถานการณ์การเมืองต่างประเทศ จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน  จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะต้องสร้างคะแนนเสียง  โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้า ที่แม้ขณะนี้จะมีการประนีประนอมในรอบแรก การลดภาษีรอบแรกเป็นแค่ส่วนย่อยจากการใช้กำแพงภาษี สงครามการค้ายังมีอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เบาบางลง

“นโยบายที่ไม่ชัดเจนของโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความลำบากต่อผู้ดำเนินนโยบาย เราเองก็ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างจีนและสหรัฐ ที่ผ่านมาทำได้ดี สร้างความสมดุล ไม่ให้เกิดผลกระทบว่าเลือกข้างใดข้างหนึ่ง และดำเนินการที่เป็นประโยชน์ เราสามารถดำเนินความสัมพันธ์พิเศษกับจีนและสหรัฐได้ โดยต้องหลีกเลี่ยงประเด็นที่สร้างความเข้าใจผิด” นายชัยยงค์ กล่าว

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)ประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2563ไว้เมื่อเดือนมกราคม อยู่ที่ระดับ 2.5-33% โดยที่ยังไม่มีปัจจัยเรื่องงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ล่าช้าและการระบาดของไวรัสโคโรนา ดังนั้นในการประชุม กกร.วันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ จะมีการทบทวนประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยใหม่อีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ชัดเจนว่า จะเติบโตต่ำกว่า 3%  แต่เชื่อว่า จะไม่ต่ำกว่า 2.5% เนื่องจากเศรษฐกิจไทย ยังมีโอกาสรับเงินลงทุนที่เข้ามาลงทุนจากต่างประเทศ จากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากการที่ไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคในประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV)

“แม้เศรษฐกิจไทยจะเจอปัจจัยลบ แต่ก็ยังมีข่าวดีในแง่การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการ สามารถเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น สะท้อนถึงตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตสูงในปีที่ผ่านมา ขณะเดียวทุกภาคส่วนสามารถช่วยกันฟื้นเศรษฐกิจไทย ด้วยโครงการไทยเท่ เที่ยวเมืองไทย และใช้ของไทย โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ ต้องสนับสนุนให้เกิดการจัดสัมมนาในประเทศ เชื่อว่า จะช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ พยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าได้” นายกลินท์ กล่าว

นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2563ว่า ยังไม่ประกาศใช้ว่า รัฐบาลทำอะไรต้องมีงบ คงต้องประเมินและผลักดันงบประมาณออกโดยเร็ว ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายช่องทาง หากมีความจำเป็นฉุกเฉินต้องออกเป็นพระราชกำหนดหนด โดยเฉพาะงบด้านการลงทุน หรือหากใช้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับเดิมต้องนำเข้าสภาใหม่ หากใช้ระยะเวลาไม่แตกต่างกัน รัฐบาลคงเลือกใช้วิธีหลัง ส่วนกรณีที่ถามว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถูกทางหรือไม่ ถ้าถูกทางเศรษฐกิจคงดีขึ้นและสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งนโยบายที่ออกมานั้น กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากเพียงใด ก็สามารถวัดได้  แต่เมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทษลดลง ดังนั้นรัฐต้องกระจายงบประมาณและโอกาส รวมไปถึงปรับโครงสร้างการเกษตรทั้งหมด เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้

“วันนี้เป็นช่วงที่ประชาชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและรัฐต้องปรับตัวครั้งใหญ่และรวดเร็ว ให้สอดรับเทคโนโลยี โครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ โดยรัฐต้องปรับตัวในยุคเทคโนโลยี มีการกระจายอำนาจ โดยเฉพาะกระจายงบประมาณแผ่นดิน35% ให้ท้องถิ่นบริหารเอง รวมถึงกระจายโอกาสและรายได้ให้ประชาชน รัฐต้องปรับแพลตฟอร์มในการประกอบอาชีพให้ประชาชน สร้างโอกาสให้เอกชนและประชาชนทำมาหากิน ที่ผ่านมาประเทศพึ่งนโยบายทางการเงินมานาน วันนี้ต้องหันมาพึ่งนโยบายการคลัง เพื่อให้การลงทุนภาคเอกชนโต เน้นให้โอกาสเอสเอ็มอีเข้าถึงงบประมาณ รูปแบบการออกนโยบายมีศูนย์กลางที่ประชาชน ขอเสนอให้รัฐบาลผลักดันนโยบายเหล่านี้ ส่วนที่มีคำถามว่าประเทศไทยควรปิดประเทศหรือไม่ คำถามนี้ต้องมีคำตอบเชิงวิทยาศาตร์ โดยรัฐบาลต้องประเมินสถานการณ์ไวรัสโคโรนาที่รุนแรงถึงขั้นไหนถึงปิดประเทศ” นายกรณ์ กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*