ภายหลังจากที่ธนาคารแห่ประเทศไทย หรือ ธปท. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ไปเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 สถาบันการเงินมีความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 30,000 ราย ยอดหนี้ 234,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 เป็น 156,000 ราย ยอดหนี้ 310,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างต่อเนื่อง โดยได้ประสานงานและหารือร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ให้บริการทางการเงินอื่นผ่านสมาคมและชมรมต่าง ๆ รวม 9 แห่ง* มีความเห็นตรงกันว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ขยายวงกว้างไปยังประชาชนและธุรกิจในทุกภาคส่วน จึงต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามภาวะที่ยากลำบากนี้ได้ จึงตกลงร่วมกันที่จะกำหนดมาตรการขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล เช่าซื้อ ลีสซิ่ง สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจ SMEs ซึ่งยังไม่เป็นหนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน (NPL) มีผลตั้งแต่งวดการชำระหนี้ วันที่ 1 เมษายน 2563 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงมาตรการช่วยเหลือขั้นต่ำ โดยผู้ให้บริการทางการเงินแต่ละแห่งยังมีโครงการช่วยเหลือเพิ่มเติมที่ดีกว่ามาตรการขั้นต่ำดังกล่าวสำหรับลูกหนี้ในภาคธุรกิจ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรม การบิน หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้ ลูกหนี้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ website หรือโทรสอบถามได้ที่ call center ของแต่ละสถาบันการเงิน

ลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการนี้ จะยังคงมีประวัติการชำระหนี้เป็นลูกหนี้ปกติในฐานข้อมูลเครดิตบูโร แต่ลูกหนี้ยังคงมีภาระการจ่ายชำระคืนหนี้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกับผู้ให้บริการทางการเงิน

สำหรับลูกหนี้ที่ชำระหนี้ที่จะได้ตามปกติตามเงื่อนไขเดิม ผู้ให้บริการทางการเงินอาจให้สิทธิประโยชน์หรือเงื่อนไขพิเศษตามความเหมาะสม เพื่อสนับสนุนให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงินที่ดี

อย่างไรก็ดี ผู้ให้บริการทางการเงินจะต้องสื่อสารการให้ความช่วยเหลือขั้นต่ำตามมาตรการนี้ และโครงการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเฉพาะกลุ่มให้ลูกหนี้ทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งชี้แจงให้ลูกหนี้ทราบสิทธิประโยชน์ แนวทางปฏิบัติการขอรับความช่วยเหลือ และภาระหน้าที่ในการชำระหนี้ตามมาตรการการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ใหม่

ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) พร้อมเดินหน้าสนับสนุนมาตรการดังกล่าวตลอดไม่มีวันหยุด ผ่านช่องทางสาขาของธนาคารฯ และ call center ล่าสุด ปรับแล้วกว่าแสนราย เป็นจำนวนกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อสำหรับลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้เสียตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยตามประเภทของลูกค้าดังนี้

ลูกค้าบัตรเครดิต

  • ปรับลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำจากเดิม 10% โดยอัตโนมัติให้เป็น 5% ในปี 2563 และ 2564 เป็น 8% ในปี 2565 และเป็น 10% ในปี 2566 โดยธนาคารฯ จะทำการปรับลดให้ลูกค้าทุกท่านตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 เป็นต้นไป โดยลูกค้าบัตรเครดิตไม่ต้องแจ้งความจำนงเป็นรายบุคคลมาที่ธนาคารฯ

ลูกค้าสินเชื่อรถยนต์

  • ลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ของธนาคารฯ (วงเงินไม่เกิน 250,000 บาท) ที่ประสงค์จะขอเลื่อนชำระค่างวดเป็นเวลา 3 เดือน สามารถติดต่อยื่นคำร้องได้ทางช่องทางของธนาคารฯ

ลูกค้าสินเชื่อบ้าน

  • ลูกค้าสินเชื่อบ้านของธนาคารฯ (วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท) ที่ประสงค์จะขอพักชำระเงินต้นเป็นเวลา 4 เดือน สามารถติดต่อยื่นคำร้องได้ทางช่องทางของธนาคารฯ

ผู้ประกอบการรายย่อย (SME)

  • ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจรายย่อย (SME) ที่อยู่ภายใต้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20 ล้านบาท ที่ประสงค์จะขอพักชำระเงินต้นเป็นระยะเวลา 4 เดือน สามารถติดต่อยื่นคำร้องได้ทางช่องทางของธนาคารฯ

ธนาคารฯ มีความห่วงใยถึงความเดือดร้อนของลูกค้าและจะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถในการเร่งพิจารณาคำร้องของลูกค้าทุกท่านโดยไม่มีวันหยุดทำการ ล่าสุดได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าแล้วกว่า 1 แสนราย วงเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยลูกค้าสามารถติดต่อยื่นคำร้องของท่านได้ที่ call center ตลอด 24 ชั่วโมงและที่สาขาของธนาคารฯ ทั่วประเทศ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*