เมเจอร์ฯมั่นใจตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ยังมีดีมานด์ และซัพพลายใหม่น้อย เผยวิกฤติโควิด-19 ส่งผลปรับแผนรุกแนวราบอีกครั้งในรอบ 20 ปี ล่าสุดเตรียม Grand Opening บ้านหรู 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,150 ล้านบาท  ทั้งประกาศเลื่อนเปิด 3 คอนโดฯ มูลค่า 9,000 ล้านบาทไปปี64 พร้อมกับผุดแนวราบต่อเนื่องอีก 2 โครงการ คาดปีนี้รับรู้รายได้ใกล้เคียงปี’62
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดแนวราบระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ว่ายังเป็นตลาดที่ยังมีความต้องการสูง และเป็นตลาดที่ยังสามารถขับเคลื่อนไปได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตลาดเซกเมนต์อื่นๆ ขณะเดียวกัน ยังเป็นตลาดที่ไม่ค่อยมีซัพพลายใหม่ เนื่องจากที่ดินในการพัฒนาโครงการระดับดังกล่าวค่อนข้างหายาก โดยเฉพาะบ้านจัดสรรที่มีซัพพลายใหม่ค่อนข้างน้อย แต่คุ้มค่ากว่าเพนท์เฮาส์ ด้วยพื้นที่ใช้สอยและความเป็นส่วนตัวที่มากกว่า
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯจะรุกโครงการในรูปแบบของคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่มาโดยตลอด แต่ในช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ก็วิกฤติการแพร่ระบาของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ส่งผลให้บริษัทปรับแผนหันมารุกโครงการแนวราบย่านใจกลางเมือง ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่มากขึ้น ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ถือว่าเป็นการกลับมาพัฒนาโครงการอีกครั้งของบริษัทในรอบ 20 ปี หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากโครงการแรกมาแล้วคือ “การ์เด้น วิลล์ คลัสเตอร์โฮม” ย่านบดินทร์เดชา

 

ล่าสุดได้เตรียมเปิดตัวบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,150 ล้านบาท  ได้แก่

1.โครงการ Malton Private Residences Sukhumvit 31 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-1-98.8 ไร่  เป็นบ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ สูง 4 ชั้น จำนวนเพียง 7 ยูนิต ขนาดพื้นที่ดิน 52.4-72.3 ตารางวา ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 451-555 ตารางเมตร  ราคาเริ่มต้น 68-85 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า  550 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 2 ยูนิตโดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening)ในวันที่ 1-2 สิงหาคม2563

2.โครงการ Malton Private Residence Ari  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-1-97.7 ไร่ ใน ซ.พหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) ย่านอารีย์ อีกหนึ่งย่านที่เป็นย่านอยู่อาศัยที่มีลักษณะเฉพาะตัวเพราะเป็นทั้งแหล่งงานและแหล่งไลฟ์สไตล์ ประกอบด้วยบ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ สูง 5  ชั้น จำนวนเพียง  8 ยูนิต ขนาดพื้นที่ดิน 50.1-64.0 ตารางวา ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 489-526 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 62-85 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า  600 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 2 ยูนิต โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ(Grand Opening)ในวันที่  18-19 กรกฎาคม 2563

“ทั้ง 2 โครงการนี้ ถือว่าเป็นบ้านหรูแบรนด์ที่ 2 ของบริษัท และเป็นในรอบ 20 ปีที่กลับมาพัฒนาโครงการแนวราบ หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากโครงการแรก ‘การ์เด้น วิลล์ คลัสเตอร์โฮม’ย่านบดินทร์เดชา มาแล้ว  โดยรูปแบบการดำเนินการของเราจะเน้นบ้านสร้างเสร็จพร้อมขาย โดยเมื่อได้ที่ดินมาไม่นานเราก็เริ่มดำเนินการก่อสร้างทันทีเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเปิดพรีเซลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา โดยมองว่าตลาดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ยังมีดีมานด์อยู่ แต่จากสถานการณ์โควิด-19 อาจทำให้ผู้ซื้อใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจช้าออกไปนานขึ้น” นางสาวเพชรลดา กล่าว

นางสาวเพชรลดา กล่าวต่อไปว่า ทั้ง 2 ทำเลที่พัฒนาขึ้นมานั้นไม่มีคู่แข่งที่พัฒนาสินค้าในระดับเดียวกันอย่างอย่างแน่นอน แม้ว่าราคาที่ขายจะสูง แต่เมื่อลูกค้าได้เห็นคุณภาพและการดีไซน์ ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น แม้ว่าจะตัดสินใจในการซื้อช้าออกไป แต่ลูกค้าก็ยังมีความต้องการ เนื่องจากที่ดินย่านใจกลางเมืองที่สามารถพัฒนาบ้านเดี่ยวนั้นหาได้ยากมาก  ทั้งนี้ทำเลสุขุมวิท 31 โดยเฉพาะในซอยปัจจุบันพุ่งขึ้นมาถึง 1.5 ล้านบาท/ตารางวาขึ้นไป ในขณะที่บริษัทฯซื้อมาได้ถูกกว่าราคาดังกล่าว 40-50% ส่วนทำเลย่านอารีย์ ปัจจุบันราคาที่ดินก็ปรับตัวพุ่งขึ้นไปถึง 1.5 ล้านบาท/ตารางวาขึ้นไป เช่นกัน คาดว่าทั้ง 2 โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้ภายในปลายปี 2563 นี้

“ในยุค New Normal พื้นที่ใช้สอยภายในที่อยู่อาศัยจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เรื่องสเปซจะกลายเป็นทั้งความจำเป็นและความหรูหราของที่อยู่อาศัยยุคใหม่ โดยทุกโครงการแนวราบของบริษัทโดยเฉพาะแบรนด์ Malton Private Residences จะใส่ใจในความกว้างขวางและโอ่อ่าของพื้นที่มาตั้งแต่ต้น ประกอบกับบรรจงคัดสรรฟังก์ชัน วัสดุ ทำเล ที่ยอดเยี่ยมมาผสานกันอย่างลงตัว เราจึงมั่นใจว่าแบรนด์แฟล็กชิพของเราจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบเหนือกาลเวลา” นางสาวเพชรลดา กล่าว

นางสาวเพชรลดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 บริษัทฯมีแผนจะเปิดตัวคอนโดฯหรู อีกประมาณ 3 โครงการ รวมมูลค่า 9,000 ล้านบาท แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลทำให้เลื่อนการเปิดตัวไปเป็นในปี 2564 แทน นอกจากนี้ในปลายปีนี้ หรือต้นปี2564 ยังมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 จึงทำให้ตัดสินใจเลื่อนไปเปิดตัวในปีหน้าอย่างแน่นอน  ซึ่งมีที่ดินรองรับหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกคอนโดฯที่เหลือขายอยู่มากกว่า 10 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมดภายในปี 2563 นี้ และมีคอนโดฯที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างอีกมูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท  โดยในช่วงไตรมาส 1/2563 สามารถรับรู้รายได้แล้วประมาณ 2,000 ล้านบาท  คาดดว่าทั้งปีจะสามารถรับรู้รายได้ไม่ดีกว่า หรือไม่ก็ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*