เฟรเซอร์สฯเปิดแผนปี’64 จ่อผุด 24 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 29,800 ล้านบาท ทั้งสนใจซิตี้โฮม ราคา 15-40 ล้านบาท เตรียมงบซื้อที่ดินปีหน้าอีก 20 แปลง มูลค่า 10,720 ล้านบาท พร้อมปรับแผนพัฒนาคอนโดฯเอง ราคา 100,000 บาท/ตารางเมตร ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าโต 10% มั่นใจปลายปีรับรู้รายได้เกือบ 15,000 ล้านบาท
นายแสนผิน สุขี
นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัดบริษัทในเครือ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือFPT เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2564 ว่า เศรษฐกิจจะะเติบโตขึ้นจากปี 2563 ที่หดตัวลงมาก  โดยกำลังซื้อน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่การแข่งขันตลาดแนวราบยังรุนแรง มีการจัดโปรโมชั่นที่ดุเดือดเพราะทุกบริษัทต้องการเติบโต โดยที่ผ่านมาพบว่า แต่ละโซนของกทม.มีผู้ประกอบการเข้าไปทำตลาดไม่ต่ำกว่า 10 ราย ดังนั้นในการพัฒนาโครงการในแต่ละทำเลจะต้องมีความรอบคอบและแม่นยำ ต้องปรับตัวและตอบรับให้ทันกับทุกสถานการณ์ ซึ่งเป็นยุคของมืออาชีพอย่างแท้จริง

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 เตรียมเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 24 โครงการ รวมมูลค่า 29,800 ล้านบาท แบ่งเป็น

ทาวน์เฮาส์ จำนวน 9 โครงการ มูลค่าประมาณ 9,700 ล้านบาท

บ้านแฝด จำนวน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท

บ้านเดี่ยว จำนวน 7 โครงการ มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท

โครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,100 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทฯยังสนใจที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของซิตี้ โฮม”(City Home) ซึ่งเป็นบ้านในพื้นที่รอบนอกซีบีดี  อาทิ วิภาวดี,พระราม9 และสาธุประดิษฐ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นบ้านสูง 3 ชั้น โดยแต่ละโครงการจะใช้ที่ดินประมาณ 20 ไร่  ซึ่งที่ดินที่ซื้อมาจะต้องมีราคาไม่เกิน 100,000 บาท/ตารางวา พัฒนาขนาดตั้งแต่ 35-50 ตารางวา จำนวนประมาณ 60-70 ยูนิต ราคาประมาณ15-40 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของซิตี้ โฮม ประมาณ 3 โครงการคาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในเดือนมกราคม 2564

ในปี 2564 บริษัทได้ปรับลดสัดส่วนของกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมลงมาค่อนข้างมากจากปี 2563 ที่50% มาเป็น 42% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของลูกค้ากลุ่มระดับกลางที่เป็นกลุ่มพ่อค้า แม่ค้า และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นหลัก ซึ่งกลุ่มลูกค้าดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ถดถอยหลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งกระทบต่อรายได้ของกลุ่มลูกค้าดังกล่าว และเมื่อลูกค้ายื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ได้ถูกปฏิเสธสินเชื่อเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 32% จากเดิมที่ 30%” นายแสนผิน กล่าว

สำหรับงบประมาณในการจัดซื้อที่ดินในปี 2564 ได้เตรียมไว้ประมาณ 10,720 ล้านบาท ในการซื้อที่ดินประมาณ 20 แปลง รองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตอีก 2 ปี แบ่งเป็น

ทาวน์เฮาส์ 9 แปลง มูลค่า 4,500 ล้านบาท

นีโอโฮม 2 แปลง มูลค่า 1,000 ล้านบาท

บ้านเดี่ยว 1 แปลง มูลค่า 420 ล้านบาท

โครงการในต่างจังหวัด 5 แปลง มูลค่า 1,600 ล้านบาท

โฮมออฟฟิศ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท

คอนโดมิเนียม จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท

ซึ่งการพัฒนาในรูปแบบคอนโดฯ จะแบ่งงบมาซื้อที่ดิน วงเงิน 2,000 ล้านบาท โดยที่บริษัทตัดสินใจหันมาซื้อที่ดินและพัฒนาคอนโดมิเนียมเอง จากเดิมที่บริษัทจะซื้อโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามา แต่ด้วยราคาเสนอขายที่บริษัทมองว่ายังอยู่ในระดับสูง และอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ทำให้ปรับแผนมาพัฒนาเอง คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2564 อย่างน้อย 1 โครงการ ระดับราคาไม่เกิน 100,000 บาท/ตารางเมตร โดยที่ดินที่จะซื้อเข้ามา บริษัทคาดว่าจะสามารถพัฒนาคอนโดมิเนียมได้มูลค่ารวม 4,000-5,00 ล้านบาท คาดว่าภายในระยะเวลา 3 ปี (นับจากปี 2564)บริษัทฯจะมีรายได้จากธุรกิจคอนโดฯในสัดส่วน20%” นายแสนผิน กล่าว

โดยพันธกิจหลักของบริษัทในช่วง 3 ปี (ปี 2564-2566) ได้วางไว้ 4 พันธกิจ ได้แก่

พันธกิจแรก คือ การก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 3 ด้านรายได้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีรายได้กว่า 20,000 ล้านบาท หรือแตะ 30,000 ล้านบาท ในปี 2564

พันธกิจที่ 2 การเป็นทางเลือกอันดับ 1 ในใจลูกค้า ที่มองหาทาวน์โฮม ทำเลในมือง

พันธกิจที่ 3 ยกระดับอันดับ 1 ในการทำบ้านแฝด (นีโอ โฮม)

พันธกิจที่ 4 ขยายตลาดต่างจังหวัด เพื่อเป็นผู้นำด้านยอดขายสูงสุดในต่างจังหวัด เช่นเชียงใหม่ เชียงราย และพัทยา สามารถทำยอดขายในวันเปิดจองได้สูงกว่า 500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่  16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี2563 โดยมีสัดส่วนรายได้จากทาวน์โฮม 42% นีโอ โฮม บ้านแฝด 23% บ้านเดี่ยว 21% และโครงการต่างจังหวัด 14%

ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 4/2563 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,050 ล้านบาท แบ่งเป็น นีโอ โฮม บ้านแฝด 2 โครงการ มูลค่า 2,130 ล้านบาท และทาวน์โฮม 1 โครงการมูลค่า 920 ล้านบาท  โดยยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ยังได้วางแผนพัฒนาโปรแกรมและแอปพลิเคชันต่างๆ สำหรับพนักงานให้ครอบคลุมในทุกเรื่องทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดิน การบริหารงานก่อสร้าง การขายและการตลาด สินเชื่อ และการดูแลลูกค้าหลังโอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งความรวดเร็ว แม่นยำและทันสมัย นอกจากนี้ ยังได้เริ่มจัดทำโปรแกรม Home+ (โฮมพลัส) เพื่อลูกค้า เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม และบุคคลทั่วไป เป็นแอปพลิเคชันสำหรับดูแลลูกค้าตั้งแต่ ก่อนซื้อ ส่งมอบ หลังเข้าอยู่พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์สุดพิเศษต่างๆ อีกด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานเฉพาะกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (มกราคมกันยายน 2563) มียอดรับรู้รายได้ 10,894 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังเป็นที่น่าพอใจ สำหรับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในสถานการณ์ โควิด-19 เช่นนี้ โดยคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ในปีนี้เกือบ 15,000 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*