สิงห์ เอสเตท เดินแผนกลยุทธ์เชิงรุกขยายธุรกิจเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของบริษัท เล็งรุกธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นสามเท่าตัวภายใน 3ปี เฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)หรือ S  เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทจะขยายแผนการลงทุนเพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเดิมของบริษัท โดยเตรียมรุกเข้าสู่ธุรกิจพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ขณะเดียวกันยังเดินหน้ามองหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆ ในระดับโลก ไปพร้อมกันด้วย

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 3 เท่าตัวภายใน 3ปีนี้(ปี 2564-2566) เฉลี่ยปีละ  20,000 ล้านบาท พร้อมกับสร้างธุรกิจให้มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น จาก 65,000 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2563 เป็น 80,000 ล้านบาทในปี 2566 โดยจะเน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายเพิ่มเติมจาก3 ธุรกิจหลักคือ ทั้งธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ซึ่งในปีที่ผ่านมาทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 96% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ส่วนปีนี้วางแผนจะเข้าไปลงทุนในธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ

นอกจากนี้กำลังศึกษาแนวคิดและวิธีใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของบริษัทเพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ในปี 2563 ที่ผ่านมาโครงสร้างรายได้หลักของสิงห์ เอสเตท มาจากโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 57% โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 23 โครงการมีทั้งบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี และThe ESSE

ส่วนรายได้อีก 24%มาจากธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตจำนวน 39 แห่งกระจายอยู่ใน 5 ประเทศ มีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง  ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัทเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ทฯ แบ่งออกเป็นกลุ่มโรงแรมที่บริหารจัดการเอง 2 แห่งตั้งอยู่ในประเทศไทย กลุ่มโรงแรมที่บบริหารจัดการภายใต้สนธิสัญญาบริหารของกลุ่มเอาท์ริกเกอร์ 6 แห่งตั้งอยู่ใน4 ประเทศ กลุ่มโรงแรมในโครงการ Crossroad ตั้งอยู่ที่มัลดิฟส์ และกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักรอีก 29 แห่ง ที่ให้บริการภายใต้แบรนด์ เมอร์เคียวและฮอลิเดย์ อินน์

และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์อีก 15%  มีทั้งพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร โดยเฉพาะอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส ที่มีพื้นที่เช่ามากกว่า 60,000 ตารางเมตร  และอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่มีทั้งอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีกกว่า 58,745 ตารางเมตร

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*