แสนสิริฯเผยภาพรวมตลาดลักชัวรี่ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซนโยธินพัฒนา ยอดขายสูงถึง 17.35% ต่อปี ล่าสุดเปิดตัวโครงการแบรนด์ใหม่  “BuGaan”(บูก้าน)ราคา ราคา 30-80 ล้านบาท จำกัดเพียง14 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวพ..64 นี้
นางสาวศรีอำไพ รัตนมยูร
นางสาวศรีอำไพ รัตนมยูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดโครงการแนวราบบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชนหรือ SIRI เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดลักชัวรี่ในช่วง4 ปีที่ผ่านมาว่า มูลค่ารวมยอดขายบ้านเดี่ยวกลุ่มลักชัวรี่ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเฉลี่ย 16,800 ล้านบาท/ปี และเมื่อเทียบในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561-2563 พบว่า ตลาดมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 17.35% ต่อปี โดยเฉพาะทำเลโยธินพัฒนา ซึ่งยอดขายในครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 10,006 ล้านบาท และแสนสิริฯ ได้สานต่อผู้นำตลาดลักชัวรี่ในฐานะเป็น Taste-maker brand จึงได้พัฒนาโครงการ “BuGaan”(บูก้าน) ขึ้นมา ซึ่งแบรนด์ลักชัวรี่ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่กลุ่มYoung Successors ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต และใช้เงินกับการให้คุณค่ากับประสบการณ์และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต (Life Asset Value) มากกว่าการให้ความสำคัญกับไอเท็มที่มีราคาแพงอย่าง ซูเปอร์คาร์ ไวน์ หรือนาฬากาลิมิเต็ด เอดิชั่นกำลังขยับขยายที่อยู่อาศัยจากคอนโดฯลักชัวรี่ ซึ่ง BuGaan เปรียบเสมือนPenthouse on ground หรือ เพนท์เฮาส์ในรูปแบบบ้าน กับสเปซและฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง ดีไซน์ในแบบ Modern Luxury Living พร้อมส่วนกลางแบบไพรเวทและความส่วนตัวสูงสุด
โครงการ “BuGaan”(บูก้าน)ตั้งอยู่บริเวณโยธินพัฒนา บนพื้นที่ทั้งหมด 4 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวลักชัวรี่ ขนาดตั้งแต่ 60-125 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเร่ิมต้นที่ 427–737 ตารางเมตร จำนวนเพียง 14 ยูนิต ราคา ราคา 30-80 ล้านบาท(ลบ.)มูลค่าโครงการ600 ล้านบาาท โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2564 นี้

“โยธินพัฒนา คือ The Best Location for Luxury Residence ใกล้เลียบทางด่วนเอกมัยรามอินทรา ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้ว ในการมีบ้านระดับลักชัวรี่และ ซูเปอร์ลักชัวรี่ ใส่ใจความหรูหราแบบฉบับโมเดิร์น ในทุกรายละเอียดทุกพื้นที่ของโครงการไม่ใช่เพียงแค่ตัวบ้าน นอกจากนี้ การวางผังโครงการ ยังจัดวางอย่างพิถีพิถันเพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด และให้บ้านทุกหลังมีจุดเด่นต่างกันเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนใครของลูกค้า ทุกหลังยังมาพร้อมกับ Private Facility ภายในบ้านตลอดจนแนวคิดที่เราต้องการทำให้ facility เป็นส่วนหนึ่งกับตัวบ้าน (connecting space) เชื่อมต่อกันทั้งแบบ vertical และ horizontal บ้านต้องเป็นตัวตนของเราเพราะบ้านบ่งบอกถึงชีวิตและรสนิยมที่เป็นตัวตนของคนนั้นๆ เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการ customized  space และ function ให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์และรสนิยมของผู้อยู่อาศัยที่แท้จริงนางสาวศรีอำไพ กล่าวในที่สุด

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*