ผลิตภัณฑ์ตราเพชร(DRT) โชว์ผลงาน Q1/64 มีรายได้รวม 1,331.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.60% แม้เจอปัจจัยลบ Covid-19 แต่ดีมานด์ลูกค้ากลุ่มโครงการ-ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ฟื้นตัวดี เร่งเดินเครื่องจักรเฉลี่ยสูงกว่า 90% เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้า

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูปแบรนด์ตราเพชร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 1,331.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 1,237.22 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างของกลุ่มลูกค้าโครงการที่เริ่มพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น และกลุ่มห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ขณะเดียวกันบริษัทได้เริ่มเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ NT-11 ช่วยเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไม้สังเคราะห์ โดยมีอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยโดยรวมสูงถึง 90%จากเป้าหมายเฉลี่ย 80% ของกำลังการผลิตโดยรวม ส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทขยายตัวได้ดีกว่าเป้าที่วางไว้

ส่วนภาพรวมของการดำเนินงานในไตรมาส 2 บริษัทมองว่าช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่และลูกค้าโครงการยังมีความต้องการซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงระยะสั้นนี้จะมีปัจจัยกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้หลังรัฐบาลควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด และประชาชนทยอยรับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้บริษัทจะควบคุมอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยไว้ที่ 80-85% เพื่อรับมือแนวโน้มต้นทุนโลจิสติกส์และวัตถุดิบบางรายการที่ปรับตัวขึ้น และจะคงอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย 27-29%

ปัจจุบันบริษัทมีช่องทางการจำหน่ายสินค้า 4 ช่องทางหลัก คือ ตัวแทนจำหน่ายในประเทศ  งานโครงการ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และตัวแทนจำหน่ายต่างประเทศ โดยในปี2563 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศ เป็นหลัก เนื่องจากร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และตัวแทนจำหน่ายต่างประเทศ มีการล็อกดาวน์ ทำให้ผู้รับเหมาที่ยังคงต้องการใช้สินค้าหันไปซื้อสินค้าหาจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศแทน

รวมทั้งบริษัทมีการปรับสัดส่วนการขายสินค้ากลุ่มหลังคาลดลงเหลือ 60% และกลุ่มสินค้าผนัง 40% เพราะเดิมยอดขายบ้านหนึ่งหลังจะประกอบด้วยหลังคาอย่างเดียวประมาณ 20,000 บาท แต่ปัจจุบันยอดขายบ้านหนึ่งหลังประกอบด้วยหลังคา โครงสร้างบ้าน และอิฐมวลเบาประมาณ 100,000 บาทต่อหลัง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*