ซีแพนเนลฯ ประกาศปรับอัตราการเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้จากเดิม 30% เป็นไม่ต่ำกว่า35% ทิศทางธุรกิจไตรมาส 4/64 ส่งสัญญาณคึกคักหลังปลดล็อก LTV ผู้ประกอบการพื้นที่กทม.ปริมณฑล ปรับแผนลงทุนโครงการใหม่เร็วขึ้น หนุนคำสั่งซื้อ Precast Concrete กวาดงานใหม่ 8 โครงการแนวราบ-แนวสูง มูลค่า 99 ล้านบาท ดัน Backlog 1,192 ล้านบาท พร้อมเจรจาลูกค้า โรงแรม คอนโดมิเนียมเพิ่ม โชว์ผลประกอบการงวด 9 เดือน รายได้รวม 220.67 ล้านบาท กำไรพุ่ง 37,501.85 %  
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงไตรมาส 4/2564  ส่งสัญญาณคึกคักมากขึ้นหลังเปิดประเทศ จากปัจจัยหนุนและแนวโน้มการเติบโต อีกทั้งการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัท จึงคาดว่าผลประกอบการปีนี้บริษัทจะสามารถเติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้จากเดิม 30% เป็นไม่ต่ำกว่า35%

“จากการที่ภาครัฐมีมาตรการปลดล็อกมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) ออกมากระตุ้นตลาดอสังหาฯ ส่งผลให้มีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มขึ้น จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ ปรับแผนการลงทุนโครงการใหม่ให้เร็วขึ้น เพื่อรองรับกำลังซื้อผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการแข่งขันของผู้ประกอบการในปัจจุบันจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์ลดต้นทุนการก่อสร้าง  ลดจำนวนแรงงาน บริหารความเสี่ยง ลดเวลาการก่อสร้าง รวมถึงใช้วัสดุที่ทำให้การก่อสร้างเสร็จเร็วมากขึ้น ซึ่ง Precast Concrete เป็นเทคโนโลยีก่อสร้างที่สามารถตอบสนองความต้องการได้” นายชาคริต กล่าว

โดยในช่วงไตรมาส 4/2564  บริษัทรับงานใหม่เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 8 โครงการแนวราบ – แนวสูง มูลค่ารวมประมาณ 99 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่ 1,192 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปี 2564-2566 นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหม่ อาทิ โรงแรม คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า และกลุ่มลูกค้าพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงต้นปี 2565

สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 220.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 143.94 ล้านบาท จำนวน 76.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 53.30% และมีกำไรสุทธิ 20.19 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันปีก่อนมีขาดทุนสุทธิ 54,000 บาท จำนวน 20.25 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 37,501.85%

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 63.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 44.09 ล้านบาท จำนวน 19.31 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 43.80% และมีกำไรสุทธิ 3.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 1.39 ล้านบาทจำนวน 4.81 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 345.32%

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่น โดยกำไรงวด 9 เดือนปี 2564 เติบโตมากกว่ากำไรทั้งปี 2563 อยู่ที่ 13.13 ล้านบาท เนื่องจากฐานกำไรปี 2563 อยู่ในระดับต่ำ สาเหตุจากลูกค้าของบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้คำสั่งซื้อของบริษัทลดลง โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับปกติในช่วงไตรมาส 4/2563 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3/2564 บริษัทมีค่าใช้จ่ายจากการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 2.8 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว โดยหากดูเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับ 6.2 ล้านบาท ถือว่าเติบโตเพิ่มขึ้นจำนวน 7.59 ล้านบาท

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*