เอสซี แอสเสทฯเชื่อปีเสืออสังหาฯรายใหญ่แข่งเดือด ระบุอัตราเงินเฟ้อปัญหาแรงงานหนี้ครัวเรือน ยังเป็นปัจจัยที่ท้าทาย กางโรดแมป SC Thriving for Good” 4 ปีภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก ประกาศแผนปี 65 เปิด 27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท ทุบสถิติใหม่สูงสุด พร้อมรุกธุรกิจใหม่ และเปิดบริการโรมแรมแห่งแรกย่านราชวัตร ภายใต้แบรนด์“YANH”  ไตรมาส 4/65  เตรียมเปิดตัว SC “Morning Coin” ผ่านระบบ Blockchain ตั้งเป้า 4 ปี รายได้โตกว่า 100,000 ล้านบาท  คาดปี65 โกยรายได้ยอดขายแตะ 22,000 ล้านบาท
 นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2565 จะคึกคักขึ้น ผู้ประกอบการรายใหญ่จะแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ดีมานด์ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องแรงงานก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายังขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง  ส่วนโครงการแนวสูง เชื่อว่าคงไม่แย่ไปกว่าปี 2564 ที่ผ่านมา เนื่องจากเชื่อว่าในครึ่งปีหลังของ 2565 มีโอกาสที่ชาวต่างชาติจะกลับเข้ามา และเชื่อว่าในปี 2566 ตลาดคอนโดฯจะกลับมาฟื้นตัวอย่างแน่นอน

“ปีนี้ภาพรวมทั่วโลก การเร่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทำให้กำลังซื้อลดลงไปบ้าง ซึ่งแต่ละบริษัทจะต้องบริหารจัดการต้นทุนต่างๆให้ได้ รวมไปถึงเรื่องแรงงาน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน และระดับหนี้ครัวเรือ ที่ปีนี้อยู่ที่ระดับกว่า 90% แต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะมีผลต่อบ้านระดับต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ท้าทายในปี 2565  อย่างไรก็ตามเชื่อว่าไตรมาส 2-3 นี้ สถานการณ์เงินเฟ้อน่าจะดีขึ้น” นายณัฐพงศ์ กล่าว

นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในช่วง 4 ปีนี้ (2565-2568)จะลงทุนอย่างมั่นใจ จะขับเคลื่อนภายใต้โรดแมป SC Thriving for Good”  มี 3 ยุทธศาสตร์หลักและเป้าหมาย ดังนี้

ยุทธศาสตร์ 1: Thriving        

เติบโต บนสมรภูมิเดิม และน่านน้ำใหม่   โดยในปี 2568  โครงการแนวราบ จะสามารถสร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท และเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในใจผู้คน  ส่วนโครงการแนวสูงจะเป็นแบรนด์คอนโดฯอันดับ 1 สำหรับกลุ่ม Gen Y ในปี 2565-2568 จะเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท นอกจากนี้จะสร้าง Growth Engine ที่ 2 เพื่อเพิ่มสัดส่วนของกำไรจากโอกาสใหม่ๆ รวมไปถึงรักษาสถานะการเงินมั่นคงแข็งแกร่ง พร้อมรับทั้งโอกาสและวิกฤติใหม่

ยุทธศาสตร์ 2:Connecting

เชื่อมต่อ ทุกสิ่งถึงกัน สร้างคุณค่าที่มากกว่า ด้วยการส่งมอบคุณภาพชีวิตดีให้ลูกค้า ด้วยนวัตกรรมที่เชื่อมต่อถึงสินค้าและบริการ ภายใต้วิธีคิดแบบลูกค้าเป็นศูนย์กลาง  (Human-centric) ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์หลากหลาย จากการเชื่อมต่อ Solutions จากหลากหลาย Ecosystems ผ่าน Blockchain Technology และทีมงานทั้งองค์กรกว่า 1,200 คนทำงานได้อย่างคล่องตัว รวดเร็ว แม่นยำ ผ่านข้อมูลทั้งหมดที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยเทคโนโลยี และการสื่อสารที่สม่ำเสมอและทั่วถึง

ยุทธศาสตร์ 3: Sustaining

ยั่งยืน สร้างคุณค่า สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม โดย SC เป็นแบรนด์ผู้นำที่มีความน่าเชื่อถือสูงเพราะรักษามาตรฐานคุณภาพสูงสม่ำเสมอ ,เป็นองค์กรอสังหาฯที่น่าทำงานอันดับ 1 ด้วยนโยบาย “สมดุลดี สังคมดี และอนาคตดี” เพื่อทุกคนในองค์กร และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ลง 20% ภายในปี 2568 เป็นองค์กรที่เติบโตควบคู่กับความใส่ใจสิ่งแวดล้อม

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2565 จะเปิดโครงการใหม่ 27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท ถือสูงเป็นสถิติใหม่ที่เคยพัฒนาโครงการมา แบ่งเป็นแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท จะเน้นไปที่แบรนด์ Boulevard PAVE VENUE ID และ V Compound ซึ่งสัดส่วนกว่า 70%  เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท  และ SC เป็นผู้นำในตลาดนี้  ส่วนคอนโดมิเนียมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 6,500 ล้านบาท บนทำเล รถไฟฟ้า BTS 2 สถานี คือ วงเวียนใหญ่ เน้นกลุ่ม Gen Y  ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 100,000-200,000 บาท/ตารางเมตร  และ ย่านทองหล่อ  ภายใต้แบรนด์ SCOPE ราคาขายประมาณ140 ล้านบาท/ยูนิต โดยในครึ่งปีแรก จะเปิดตัวก่อนจำนวน 13 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 11 โครงการ และคอนโดฯ 2 โครงการ และในครึ่งปีหลังจะเปิดแนวราบ ทั้งหมด 14 โครงการ ซึ่งทั้งหมดเป็นการพัฒนาเอง 100% แต่ถ้าหากมีพันธมิตรสนใจก็ยินดีเปิดกว้าง

“โดยปีนี้จะมี 2 แบรนด์ใหม่ คือบ้านเดี่ยว ย่านเอกมัย-รามอินทรา ราคามากกว่า 50 ล้านบาท และคอนโดฯ ที่มาจากทัศนคติใหม่ของกลุ่ม Gen Y ยังมีความต้องการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และต้องการความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน รวมถึงต้องการพื้นที่อยู่อาศัยในขนาดกระทัดรัดที่ตอบสนองต่อการใช้สอยในชีวิตประจำวันได้อย่างเพียงพอ ซึ่งจะเป็นการขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯที่ยังเป็นช่องว่างทางการตลาด รวมไปถึงการเจาะตลาดกลุ่มลักชัวรี่ ที่ยังมีความแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนได้ดีอยู่ ซึ่งบริษัทฯจะพัฒนาตลาดกลุ่มนี้ผ่านบริษัท สโคป จำกัด (SCOPE) โดย 4 ปีนี้จะเปิดคอนโดฯให้ได้ประมาณ 10 โครงการ 10 ทำเล ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้วเกือบ 50%”นายณัฐพงศ์ กล่าว

ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งมีการศึกษาอยุ่ 1 ธุรกิจ คาดว่าจะเปิดเผยได้ในช่วงกลางปี 2565  ซึ่งจะเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนเสริมให้กับบริษัทฯ ส่วนแผนการเปิดตัวโรงแรมแห่งแรกของบริษัทนั้น คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4/2565  ภายใต้แบรนด์ว่า “YANH”  ย่านราชวัตร

สำหรับการลงทุนในสหรัฐอเมริกา บริษัทฯยังคงมองหาการลงทุนในอพาร์ตเมนท์ให้เช่าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการมองหาโอกาสในการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเข้ามาเสริมงานด้านการบริการให้กับลูกบ้านของ SC ทำให้ลูกบ้านสามารถได้ใช้ชีวิตภายในบ้านได้อย่างสะดวก รวมถึงการมองหาโอกาสในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain และ Metaverse ที่จะนำมาเชื่อมโยงกับโทเคนของบริษัท คือ SC “Morning Coin”

โดยที่แผนการเปิดตัว SC “Morning Coin” จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/2565 ซึ่งเป็น Utility Token ที่จะเข้าใช้ใน Ecosystem ของ SC และพันธมิตรต่างๆ ผ่านระบบ Blockchain ในรูปแบบการนำ SC “Morning Coin” มาใช้ประโยชน์ในการแลกสิทธิพิเศษต่างๆในเครือข่ายของบริษัทและพันธมิตรที่เข้าร่วม เพื่อสร้างความเป็น Brand loyalty ให้กับลูกค้าของ SC มากขึ้น และไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกควบคุมการใช้โทเคนจากหน่วยงานกำกับที่เข้ามาควบคุม
“ปีนี้จะมีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่หลากหลาย ที่พร้อมสร้างคุณค่าและเชื่อมต่อ Solutions สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อมสำหรับบ้านทุกหลังในโครงการเปิดใหม่ เช่น นวัตกรรม Active Airflow & Air Quality Control, EV Charger,    RueJai App 3.0 รวมถึงการเปิดตัว Prototype แบบบ้านใหม่ “บ้านสำหรับ Gamers” และ ดีไซน์ซีรีส์ใหม่ของฟังก์ชั่น  “Work from Home” เป็นต้น”นายณัฐพงศ์ กล่าว

 อย่างไรก็ตามในปี 2565 นี้ SC และบริษัทในกลุ่ม มีโครงการพัฒนาเพื่อขายรวมทั้งสิ้น 78 โครงการ มูลค่า 69,000 ล้านบาท มีสัดส่วนแนวราบและแนวสูง 70:30 พร้อมเตรียมงบลงทุนที่ดินใหม่ในปีนี้จำนวนทั้งสิ้น 11,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2568
โดยที่ในช่วง 4 ปีนี้ รายได้จากการขายที่อยู่อาศัยจะยังคงมีสัดส่วนที่มากที่สุดประมาณ 80% โดยที่จะมาจากรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยหลักยังคงมาจากโครงการแนวราบเป็นหลัก นอกจากนี้ในส่วนรายได้จากช่องทางรายได้อื่นๆของบริษัทอีก 20% จะมาจากรายได้จากอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงกว่า 90% รายได้จากธุรกิจโรงแรม รายได้จากการลงทุนในสหรัฐฯ และรายได้จากธุรกิจใหม่ที่บริษัทฯจะมองหาโอกาสเข้ามาเสริม เพื่อสร้างเป็นหนึ่งในกลไกในการขับเคลื่อนการผลักดันการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ซึ่งระยะเวลา 4 ปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตต่อเนื่องกว่า 100,000 ล้านบาท โดยในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้ ขึ้นไปแตะระดับ 30,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2565 บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้และยอดขาย ไว้ที่ 22,000 ล้านบาท

“องค์กรที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนบนวิถีโลกใหม่ ต้องเริ่มต้นที่เข้าใจว่าทุกสิ่งบนโลกเชื่อมต่อถึงกัน มีผลกระทบต่อกัน วิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมาสอนบทเรียนนี้แก่เราอย่างลึกซึ้ง คนไม่สบาย 1 คนจากประเทศหนึ่ง สามารถส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งโลก ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งนวัตกรรม และวิถีพฤติกรรมใหม่อีกหลากหลาย เศรษฐกิจวิ่งช้าลง 3 ปี แต่นวัตกรรมบนโลกวิ่งเร็วขึ้น 10 ปี องค์กรที่ยั่งยืนจะสร้างคุณค่าสู่ทั้งผู้คนและโลก คุณค่านี้จะเป็นผู้สร้างกำไร และกำไรจะกลับมาสร้างคุณค่าต่อไปอย่างยั่งยืน และนี่คือทิศทางการเติบโตยั่งยืนของ SC บนวิถีโลกใหม่ SC Thriving for Good เติบโต เชื่อมต่อ ยั่งยืน” นายณัฐพงศ์ กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*