หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน มีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายลงในเร็วๆนี้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยเฉพาะรายใหญ่กลาง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่างมีความมั่นใจ และประกาศเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง หลายรายมีการเคลมว่าปี 2565 นี้ เปิดตัวโครงการมากที่สุดนับตั้งแต่เปิดตัวบริษัทมา คิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งเห็นสัญญาณได้จากผลประกอบการรวมปี 2564 ที่ส่วนใหญ่เริ่มมีอัตราการเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ กำไรสุทธิ และอัตรากำไรสุทธิ
NOBLE รับรายได้กำไรลดลง แต่ยอดขายเพิ่มขึ้น
บริษัท  โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  ประกาศผลการดำเนินงานปี 2564  บริษัทฯมีรายได้รวม 7,430 ล้านบาท ลดลง 32% เมื่อเทียบจากปีก่อน (YoY) และกำไรสุทธิอยู่ที่ 932 ล้านบาท ลดลง 50% เมื่อเทียบจากปีก่อน (YoY) ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 12.5% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 33.0% ลดลงจากปีก่อนเนื่องจากมีการทำแคมเปญสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในช่วงปีที่ผ่านมา รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงักจากมาตรการคุ้มเข้มเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จนนำไปสู่การออกมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการปิดแคมป์คนงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคการดำเนินธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน

ขณะที่ยอดขาย (Pre-sale) ในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 8,035 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 22% จากปี 2563 จากการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) ประมาณ 5,700 ล้านบาท และมาจากการขายโครงการเปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกประมาณ 2,335 ล้านบาท  โดยแบ่งเป็นสัดส่วนของลูกค้าภายในประเทศ 71% และลูกค้าต่างชาติ 29% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนของส่วนแบ่งทางทางการตลาด (Market Share) เฉพาะตลาดของลูกค้าต่างชาติที่ 52% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑล นอกจากนี้ในปี 2564 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และโครงการนิว โนเบิล คอนเนค เฮ้าส์ ดอนเมือง

สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565  โนเบิลฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ โดยในปีนี้บริษัทฯได้วางเป้ายอดขาย (Pre-sale) ไว้ที่ระดับ 28,000 ล้านบาท และรายได้ที่ระดับ 11,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,700 ล้านบาท โดยบางโครงการเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาจากปี 2564  ทั้งนี้บริษัทฯได้วางเป้าหมาย เพื่อขยายพอร์ตสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายสินค้าให้หลากหลายคลอบคลุมทุกทิศของกรุงเทพฯ อาทิ โซนราชพฤกษ์ เอกมัย บางนา และกรุงเทพกรีฑา เป็นต้น

โดยช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา NOBLE ได้เปิดตัวโครงการพร้อมกัน 5 โครงการ  ประกอบด้วย โครงการนิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 , โครงการนิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา และโครงการนิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการติดห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ ยังมีโครงการนิว โนเบิล อีโว อารีย์ และโครงการนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนจากยอดขายสองเดือนแรกสำหรับ 5 โครงการรวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และรวมยอดขายจากทุกโครงการเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

ส่วนการลงทุนในสหราชอาณาจักร NOBLE  ยังคงแผนหน้าขยายการลงทุนซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์จะเปลี่ยนการลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งอาคารเป็นแบบ Bulk ยูนิต หรือการซื้อเป็นจำนวนหลายๆห้อง (Bulk Deal) แทน เนื่องจากการซื้อเป็นจำนวนยูนิตจะมีการแข่งขั้นที่น้อยกว่าการซื้อทั้งอาคาร  โดยในปี 2565 บริษัทฯได้วางเป้าหมายจะซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) โดยในเบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาส1/2565 จะมีการซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์จำนวน 70 ยูนิต
LALIN ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

ด้าน บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN ประกาศผลประกอบการปี 2564 มียอดรับรู้รายได้ทั้งปีที่ 6,589.58 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องติดต่อกันมากว่า 6 ปี  นอกจากรายได้ที่เติบโตสูงกว่าเป้าหมาย แม้ในสถานการณ์ที่ Demand อ่อนตัวลง   ในขณะที่ต้นทุนการก่อสร้างหลายตัวปรับเพิ่มขึ้น บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี ในปี 2564 บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 39.1%  สูงกว่า Benchmark ของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 31-32%  รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ในปี 2564 ตัวเลขอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Revenues) ปรับดีขึ้นมาอยู่ที่ 9.1%  ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับปี 2564 อยู่ที่ 1,389.21 ล้านบาท  ซึ่งหากเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในปีก่อนหน้า เติบโตเพิ่มขึ้น 14.9% โดยมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 21.1%  ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 11%

ทั้งนี้ในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายโครงการใหม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท  และในปี 2565 นี้ บริษัทเตรียมขยายโครงการใหม่เพิ่มเติมต่อเนื่องอีก 1012 โครงการ มูลค่า 7,0008,000 ล้านบาท  โดยบริษัทมีการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินอย่างรัดกุม  มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 2564 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า  และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลขอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ระดับเพียง 0.22 เท่า ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 0.31 เท่า  สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็ง  ศักยภาพในการขยายธุรกิจโดยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง  และความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำโดยเฉพาะในสภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น
BRI โชว์ผลงานปี 64 พุ่งแรง กำไรสุทธิ เติบโต 72.7%  

บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI มีผลการดำเนินงานปี 2564  เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยทำรายได้รวม 3,815.8 ล้านบาท เติบโต 62.9% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 602.1 ล้านบาท เติบโต 72.7% จากปีก่อน แม้เศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในรอบปีที่ผ่านมา และการออกมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างชั่วคราวในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด นอกจากนี้บริษัทฯ สามารถทำอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 15.8% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ สะท้อนความสามารถบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 อยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยมีรายได้รวม 1,007.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 149.5 ล้านบาท

สำหรับปี 2565 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 12 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 13,400 ล้านบาท จะรุกขยายโครงการทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ระยอง ขอนแก่นและอุดรธานี โดยไตรมาส 1/2565 เปิดโครงการแรกในย่านราชพฤกษ์-นครอินทร์ไปแล้ว 1 โครงการ และไตรมาส 2/2565 คาดจะเปิดโครงการบริทาเนีย อมตะ-พานทอง จังหวัดชลบุรี อีก 1 โครงการ และเปิดตัวอีก 10 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขายอีก 20 โครงการ ที่จะสร้างยอดขายและรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

KUN ท็อปฟอร์ม โกยยอดขายรายได้กำไรพุ่ง ทุบสถิติสูงสุด 
บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  ยังสามารถสร้างโอกาสการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จนสามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร โดยบริษัทฯมีรายได้จากการขาย เท่ากับ 991.63 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.01 (YOY) จากปีก่อนที่มีรายได้จากยอดขาย  799.64  ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 155.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 84 เมื่อเทียบกับปีก่อน(YoY) จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 84.64 ล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมาทั้งในส่วนของรายได้และกำไรถือว่าเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ขณะที่ยอดขาย (Presale) ตลอดทั้งปี 2564 แตะที่ระดับ 1,510 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตทะลุเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ1,500 ล้านบาท ซึ่งทุบสถิติสูงสุดใหม่ (New Hing) เช่นเดียวกัน    ซึ่งเป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจาก 6 โครงการหลัก ได้แก่ คุณาลัย พรีม, คุณาลัย จอย, คุณาลัย จอย ออน 314, คุณาลัย บีกินส์2, คุณาลัย คอร์ทยาร์ด และบีกินส์1

ส่วนแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ใหม่ในปีนี้ มีจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคุณาลัย เดซี่ (Kunalai Daisy) โซนบางบัวทอง และโครงการ คุณาลัย นาวาร่า (Kunalai Navara) โซนพระราม 2-บางขุนเทียน ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้น 15-20%  และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่1,800 ล้านบาท

VRANDA โชว์ผลดำเนินงาน Q4/64 ฟื้นตัวแกร่ง

บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA  เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 (ตุลาคม – ธันวาคม 2564) มีกำไรสุทธิ 12.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125% และมีรายได้รวม 397.2 ล้านบาท เติบโต 66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับตลาดเพื่อรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จากนโยบายภาครัฐเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยว และการดำเนินธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ VRANDA ที่มุ่งสร้างเอกลักษณ์การดีไซน์อย่างโดดเด่นตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564  ธุรกิจโรงแรมมีรายได้อยู่ที่ 198 ล้านบาท เติบโต 247% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมถึงนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ทำให้อัตราเข้าพักเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 4/2564 เพิ่มขึ้นเป็น 44% ซึ่งส่งผลให้วีรันดา รีสอร์ทแอนด์วิลล่า หัวหิน-ชะอำ ทำรายได้ในไตรมาส 4 เป็นสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เปิดให้บริการ ส่วนวีรันดา ไฮ รีสอร์ท เชียงใหม่และ วีรันดา รีสอร์ท พัทยา ก็สามารถทำรายได้เดือนธันวาคม 2564 ใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดเดิมที่ทำไว้

ด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีรายได้ไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 149.9 ล้านบาทจากความสำเร็จของโครงการเรสซิเดนซ์พักอาศัยโดยเฉพาะโครงการวีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*