ออลล์ อินสไปร์ฯประกาศปรับโครงสร้าง ก้าวสู่ “โฮลดิ้ง คอมพานี” รับกระแส Mega Trend เดินหน้าแตกไลน์ธุรกิจใหม่  3 ธุรกิจใหม่ ด้วยงบลงทุน 1,400 ล้านบาท หวังสร้างความเชื่อมั่นและผลตอบแทนผู้ถือหุ้น หวังมาร์เก็ตแคป 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีส่งผลปี65 สัดส่วนธุรกิจอสังหาฯหดเหลือ 10% ระบุ 3 ปีนี้ชะลอผุดโครงการใหม่ แม้ยังมีที่ดินในมือ 5-6 แปลง เหตุตลาดมีความผันผวนแข่งขันสูง คาดอนาคตปรับรูปแบบรุกสู่ธุรกิจไฟแนนซ์อย่างเต็มตัว
 นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยว่า ในปัจจุบันองค์กรธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้าน การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อประคองธุรกิจให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว บริษัทฯ จึงได้ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญ ภายใต้แนวคิด “All New Era” ออลล์ อินสไปร์ ยุคใหม่ ที่ไม่หยุดแค่อสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป มองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อการพลิกฟื้นธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว นำพาองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดด รองรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมตั้งเป้าพลิกฟื้น (Turnaround) เตรียมก้าวสู่ “โฮลดิ้ง คอมพานี” เพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง  รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้  ด้วยการขยายไลน์ 3 ธุรกิจใหม่ คือ

1.ธุรกิจบริหารสินทรัพย์  Assets Management (AMC) รูปแบบการดำเนินงานคือ การจัดตั้งบริษัทใหม่พร้อมจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงการควบรวมกิจการและพร้อมเข้าประมูลกับสถาบันการเงิน

2.ธุรกิจบริหารหนี้สิน Debt Management เป็นการเข้าซื้อหนี้เสียมาบริหาร ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อาทิ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต หรือหนี้อื่นๆ และมีแผนร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ

3.ธุรกิจคาร์บอนเครดิต Carbon Credits ได้มีการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจ One Stop Service ซื้อ ขาย พัฒนา คาร์บอนเครดิต ผ่านบล็อกเชน รายแรกของประเทศไทย

“การลงทุนในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจบริหารหนี้สิน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการร่วมทุนกับพันธมิตรในช่วงไตรมาส 3/2565 และจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 3/2565  ได้ทันที ซึ่งบริษัทตั้งเป้าในปีแรกของการเริ่มธุรกิจจะซื้อหนี้เข้ามาบริหารในพอร์ตประมาณ 500-1,000 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนในการเข้าซื้อหนี้ 100 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคาร์บอนเครดิต อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรระดับโลก ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ได้รับใบอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเคด์ตจากหน่วยงานของสหรัฐฯและยุโรป และกำลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/2565  หรือต้นปี 2566  ซึ่งจะมีรายได้เข้ามาในช่วงปี 2566

โดยทั้ง 3 ธุรกิจใหม่นี้ บริษัทฯได้วางงบลงทุนประมาณ 1,400 ล้านบาท แหล่งเงินทุนจะมาจากการเพิ่มทุนให้กับบุคลลในวงจำกัด (PP) ราว 840 ล้นนบาท ซึ่งเพิ่มทุนให้กับกองทุน AO Fund เป็นกองทุนจากต่างประเทศที่เน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและเล็ก และส่วนที่เหลืออีก 650 ล้านบาท จะมาจากการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO)

ดังนั้นจะทำให้สัดส่วนธุรกิจในปี 2565 ของบริษัทฯเปลี่ยนไป คือ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ มีสัดส่วน 30% ธุรกิจบริหารหนี้สิน  มีสัดส่วน 30% ธุรกิจคาร์บอนเครดิต มีสัดส่วน 30% และ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีสัดส่วน 10%  คาดว่าในอนาคตบริษัทฯจะปรับรูปแบบรุกสู่ธุรกิจไฟแนนซ์อย่างเต็มตัว

“ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างธุรกิจจะทำให้บริษัทมีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ช่วยกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และการตั้งเป้าพลิกฟื้นให้ธุรกิจกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น รวมถึงสามารถปรับตัวและรับมือปัจจัยภายนอกได้เหมาะสมกับแต่ละประเภทธุรกิจมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมั่นใจว่าทั้ง 3 ธุรกิจ จะสามารถสร้างรายได้และกำไรในอัตราผลตอบแทนที่สูงได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเสริมสร้างศักยภาพในการเติบโตของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต” นายธนากร กล่าว

ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บริษัทฯจะชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ไปก่อนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี  แม้ว่าจะยังมีที่ดินรองรับการพัฒนาในพื้นที่กทม.อยู่ประมาณ 5-6 แปลง แต่จะมีการนำมาพัฒนาเมื่อมีจังหวะของตลาด หรือศักยภาพของที่ดินมีความเหมาะสม หรือมีโอกาสพิจารณาขายออกไป เพี่อเน้นไปที่การดำเนินงานของ 3 ธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนธุรกิจอสังหาริมาทรัพย์ โดยที่การชะลอการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่นั้นและหันมาโฟกัสธุรกิจใหม่ เพราะสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความผันผวนค่อยข้างมาก จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อ รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ทำให้การดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับความท้าทายสูง และเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนมาก ทำให้บริษัทหันมามองโอกาสในธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก มีความคล่องตัวในการปรับธุรกิจสูง และมีโอกาสในตลาดแทน

“เราอยากให้บริษัทฯเป็น Asset Light ที่ตัวเบามากขึ้น มีความคล่องตัว ปรับตัวได้เร็ว ทำให้หันมาเน้น 3 ธุรกิจใหม่ ที่ไม่ใช้เงินลงทุนมาก สร้างรายได้เร็ว และมาร์จิ้นดีกว่าธุรกิจอสังหาฯ ที่รายได้กว่าจะเข้ามาก็มี Cycle มีความผันผวนตามเศรษฐกิจ และการแข่งขันรุนแรง ซึ่งอาจจะไม่สร้าง Growth trend ให้กับบริษัทอีกต่อไป ต่างจาก 3 ธุรกิจใหม่ที่มีเสน่ห์ในการนำพาบริษัทเติบโตไปได้มากกว่า หวังสร้างความเชื่อมั่นและผลตอบแทนผู้ถือหุ้น โดยตั้งเป้า Market Cap 30,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี นายธนากร กล่าว

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้ที่ 4,000-4,500 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,290 ล้านบาท โดยที่ในปีนี้จะยังมีรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามาในสัดส่วนกว่า 30% จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ราว 8,000 ล้านบาท ยังมีการทยอยโอนเข้ามาในปีนี้ต่อเนื่อง และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์และธุรกิจบริหารและติดตามหนี้เข้ามาเสริม และจะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ผลงานของบริษัทในปี 2565  พลิกกลับมีกำไร จากปีก่อนขาดทุน 347 ล้านบาท

ด้านสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 2 เท่า แต่คาดว่าหลังจากการเพิ่มทุนแล้ว D/E ของบริษัทจะลดลง และทำให้บริษัทมีความสามารถในการกู้ยืมเงินได้เพิ่ม ซึ่งเป็นแผนการรองรับการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ที่ยังมีวงเงินที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ออกหุ้นกู้ได้อีก 1,700 ล้านบาท หากบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงินในการลงทุนเพิ่มเติม

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*