แอล พี พีฯเครือ แอล.พี.เอ็น.เผยครึ่งหลังปี 65 มี 3 เทรนด์หลักที่เชื่อมกับธุรกิจบริหารอาคารที่เติบโตสูง พร้อมส่ง LPS เข้ารุกธุรกิจที่ปรึกษาแลนด์ลอร์ดพื้นที่กทม.-ปริมณฑล-หัวเมืองใหญ่ ทั้งผนึกรพ.สินแพทย์ เข้าบริหาร 15 รพ.ในเครือ ระบุเตรียมงบลงทุน 300-500 ล้านบาท ต่อยอดการร่วมทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานอาคาร คาดหวังผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 15% ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีแตะ 1,200 ล้านบาท หรือเติบโต 40% คาดหวังบอร์ดไฟเขียวดันบริษัทเจ้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯตามแผน
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN  เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 เชื่อว่าจะมีอีก 3 เทรนด์ที่เชื่อมกับธุรกิจให้บริการด้านการบริหารอาคาร และ Facility ได้ คือ

1.โควิด-19 เป็นตัวเร่งให้กลุ่มที่คาดหวังการให้บริการที่มีผู้ประกอบการรายใหม่ๆเข้ามาในธุรกิจมากขึ้น ทำให้ลูกค้ามีโอกาสมีตัวเลือกในการพิจารณามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อธูรกิจใหม่ของ LPP เช่น ธุรกิจด้านการรักษาความปลอดภัย  เป็นต้น

2.ธุรกิจอสังหาฯยังมีอัตราการเติบโตที่สูง ดังนั้นธุรกิจการรับจ้างบริหารอาคารจึงมีโอกาสทางธุรกิจสูง

3.พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 ส่งผลให้แลนด์ลอร์ดที่ดินเริ่มมองหามืออาชีพมาพัฒนาที่ดินให้เกิดประโยชน์ จึงเป็นช่องทางให้บริษัทเข้าไปเป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการบริหารงานขาย หรือในรูปแบบระบบ Turnkey  ซึ่งได้เริ่มดำเนินธุรกิจดังกล่าวในปี 2565 นี้ ด้วยการนำ บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด (LPS)  เข้ามาบริหาร โดยได้มีการปรับแผนการตลาดใหม่ เพื่อรุกธุรกิจดังกล่าว ซึ่งจะเน้นที่ดินที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ก่อน เพราะต้องการนำซัพพลายเชนไปร่วมพัฒนาด้วย เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ครบวงจร ปัจจุบันมีลูกค้าที่ตัดสินใจว่าจ้างบริษัทให้เป็นที่ปรึกษาแล้ว 3 ราย โดยในจำนวนดังกล่าวมีแลนด์ลอร์ดที่เป็นเจ้าของที่ดินย่านเทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสและแนวทางการพัฒนาที่ดินดังกล่าวให้กับลูกค้า โดยมีแนวโน้มที่จะพัฒนาในรูปแบบของมิกซ์ยูส และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 4-5 ราย

นอกจากนี้บริษัทเตรีมต่อยอดธุรกิจการรับจ้างบริหารอาคาร และ Facility ในกลุ่มโรงพยาบาล โดยเตรียมร่วมทุนกับกลุ่มโรงพยาบาลสินแพทย์ ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 นี้ ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมา เพื่อบริหารธุรกิจด้านการรักษาความปลอดภัย งานบริการรักษาความสะอาด งานบริการช่างและวิศวกรรม ในเครือโรงพยาบาลสินแพทย์ ซึ่งมีทั้งหมด 15 แห่งโดยเบื้องต้นในปีนี้จะเริ่มบริหารก่อน 6 แห่ง  ตั้งเป้ารายได้ในบริษัทร่วมทุนที่ 50 ล้านบา

นอกจากนี้บริษัทยังมีการศึกษาโอกาสในการเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการงานบริการ งานทำความสะอาด และงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจของ LPP ในอนาคต ซึ่งเบื้องต้นได้วางงบลงทุนไว้ 300-500 ล้านบาท ในการนำเงินไปต่อยอดการร่วมลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานอาคาร ซึ่งเกณฑ์ในการลงทุนนั้นคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ไม่ต่ำกว่า 15%   

ด้านธุรกิจหลักของบริษัท คือ ธุรกิจบริหารชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีการบริหารชุมชนทั้งหมด 234 โครงการ เป็นแนวราบ ประมาณ 20 โครงการ ,อาคารสำนักงาน 2 โครงการ ที่เหลือเป็นคอนโดมิเนียม  ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็น โครงการในเครือ LPN สัดส่วน 70% โครงการของผู้ประกอบการรายอื่น สัดส่วน 30%  ซึ่งได้มีลูกค้าจากผู้ประกอบการอื่นที่ไว้วางใจให้บริษัทเข้ามาบริหารเพิ่มเติม เช่น โครงการของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ ANAN  ที่บริหารอยู่ 13 โครงการ โครงการของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) หรือ SPALI  ที่บริหารให้กับเจ้าของร่วมอยู่ 7 โครงการ และโครงการของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH  ที่บริหารให้กับผู้ประกอบการและนิติบุคคล 4 โครงการ ซึ่งยังคงมีลูกค้าต่อสัญญาในการบริหารชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผลการดำเนินงานของ LPP ในปี 2565 มั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ 1,200 ล้านบาท หรือเติบโต 40% จากปีก่อน และคาดว่าจะมีกำไรที่ 100 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา LPP มีรายได้อยู่ที่ 472 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 60 ล้านบาท พร้อมกับวางแผนผลการดำเนินงานเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% หลังจากปี 2565  เป็นต้นไป เพื่อเตรียมตัวในการเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการพิจารณาจากคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในการขออนุมัติให้นำ LPP เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับ LPP ในการระดมทุนนำเงินไปใช้ในการขยายงานบริการ และสร้างมูลค่าให้กับ LPN ซึ่งเป็นบริษัทแม่ โดยคาดว่าอย่างเร็วที่สุดหากบอร์ดอนุมัติในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จะสามารถนำ LPP เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ภายในปี 2566 หรืออย่างช้าภายในปี 2561 ซึ่งเป็นไปตามแผนงานของบริษัทฯที่วางไว้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*