แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี66 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวที่เติบโต แนะผู้ประกอบการอย่าโลภ ระวังการลงทุนทั้งใน-ต่างประเทศ ต้องมอนิเตอร์ข่าวต่อเนื่อง ระบุจีนเปิดประเทศแต่ยังไม่กล้าซื้อที่อยู่อาศัย หวั่นได้รับผลจากคดีทุนสีเทา ขณะที่บ้านเช่าใกล้รร.อินเตอร์ฯกระแสตอบรับดี แนวราบราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปโตต่อเนื่อง ด้านตลาดคอนโดฯจะกระจายไปชานเมือง เปิดแผนปีนี้ผุด 17 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 34,960 ล้านบาท และอัดงบลงทุน 9,000 ล้านบาท จ่อนำ 2 โรงแรมในพัทยาเข้ากองรีท ตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้แตะ 35,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 33,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าที่ 7,150 ล้านบาท
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH เปิดเผย ถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ว่ายังมีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยมีปัจจัยหลักมาจากภาคการท่องเที่ยวที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น และมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2565 ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยดีขึ้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางกลับมามากขึ้น ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้จะอยู่ที่ 20 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอัตราการจ้างงานในภาคบริการมากขึ้น แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่มาจากต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ และกำลังซื้อในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคงต้องจับตาในส่วนของหนี้ครัวเรือน และอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับปัจจัยทางด้านการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 นี้ มองว่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนเริ่มมีความหวัง เพราะประชาธิปไตยต้องเดินหน้า ซึ่งชาวต่างชาติก็จับตาในเรื่องการลงทุนอยู่

“คนที่ออกกฎเกณฑ์ในประเทศ อย่าออกกฎกลับไปกลับมา เพราะผู้ประกอบการจะสับสนในการลงทุนธุรกิจ เพราะหากมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ภาคเอกชนก็รับได้ และพร้อมที่จะเดินทางที่รัฐบาลกำหนด โดยสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการแบ่งเป็น 2 ขั้ว เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการมีความระมัดระวังการลงทุนทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างคือ ‘ความโลภ การลงทุนแต่ละครั้งต้องคิดให้มาก เพราะความไม่แน่นอนจะเข้ามามาก ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องมีการมอนิเตอร์ข้อมูลตลอดเวลา”นายนพร กล่าว

ส่วนการที่จีนประกาศเปิดประเทศ คงต้องรอดูสักระยะก่อน เพราะกรณีคดีกลุ่มทุนจีนสีเทาจะทำให้คนจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยต้องคิดก่อนตัดสินใจซื้อ ในขณะที่ตลาดบ้านเช่าใกล้โรงเรียนอินเตอร์เนชันแนล จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะชาวจีนนิยมส่งบุตร-หลาน มาเรียนที่ประเทศไทย ส่งผลให้บ้านเดี่ยวที่พัฒนาบริเวณใกล้โรงเรียนอินเตอร์ฯต่างๆได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

นายนพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดบ้านแนวราบยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมจากดีมานด์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในช่วงวิกฤติโควิด-19 เป็นต้นมา ทำให้โครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ยังขายดีต่อเนื่อง และเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่สามารถเจาะกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงได้ จะเห็นได้จากบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท ยังสร้างยอดขายได้ดีมาต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่เป็นพอร์ตหลักของบริษัท และสามารถหนุนยอดขายและยอดโอนให้กับบริษัทได้อย่างดีในช่วงปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาถึงปี 2566

สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯนั้น ดีมานด์และซัพพลายเริ่มฟื้นตัว เพราะซัพพลายใหม่เริ่มน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการยังหันไปพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการกลับมาพัฒนาตอนโดฯในเมืองของผู้ประกอบการจะน้อยลง แต่หันไปพัฒนาทำเลชานเมืองมากขึ้น ในระดับราคาเฉลี่ย 70,000-80,000 บาท/ตารางเมตร โดยซัพพลายตอนโดฯที่เหลือ ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ๆที่เข้ามา

แต่ในส่วนของบริษัทจะมีการพัฒนาคอนโดฯที่เจาะกลุ่มลูกค้า Real Demand จริงๆ ซึ่งจะมีความพิเศษและราคาที่สูงกว่าตลาด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความต้องการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมที่แตกต่างจากคอนโดมิเนียมในตลาดทั่วๆไป ซึ่งภาพรวมคิดว่าเศรษฐกิจปี 2566 ไม่น่าจะแย่ไปกว่าปี 2565

“ตลาดคอนโดมิเนียมได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2564 และปัจจุบันเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ โดยมาจากซัพพลายสินค้าคอนโดมิเนียมในตลาดได้ปรับลดลงไปมากในช่วงที่ผ่านมาและผู้ประกอบการต่างๆได้ชะลอการเปิดคอนโดมิเนียม ทำให้ตลาดเริ่มมีการปรับตัวเข้าสู่จุดที่สมดุล และปัจจุบันมองว่าเมื่อมีการเปิดเมือง และเปิดประเทศกลับมาปกติ ทำให้มีการเดินทางมาทำงาน รวมถึงมีกลุ่มลูกค้าต่างประเทศกลับเข้ามา ส่งผลให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมค่อยๆกลับมามากขึ้น และผู้ประกอบการก็เริ่มมีการพัฒนาโครงการใหม่เข้ามาเติมและสร้างสีสันให้กับตลาด ช่วยให้คอนโดฯกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น”นายนพร กล่าว

นายนพร กล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2566 ว่าเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 17 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% (จากปี 2565 ที่ผ่านมา เปิดตัวไป 15 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 32,460 ล้านบาท) แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 16 โครงการมูลค่า 28,460 ล้านบาท และคอนโดฯ 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโครงการในทำเลกรุงเทพฯและปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ

ทั้งนี้ ณ ต้นปี 2566 บริษัทมีจำนวนโครงการที่ดำเนินการขายทั้งสิ้น 70 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 62 โครงการ มูลค่า 47,983 ล้านบาท และเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่า 8,375 ล้านบาท  หากแยกตามประเภทสินค้าที่จะพัฒนาโครงการในปี 2566 นี้ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 15 โครงการ ,บ้านแฝด 1 โครงการ ,ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ ,คอนโดมิเนียม 1 โครงการดังนั้น จำนวนโครงการที่จะดำเนินการจะมีรวมทั้งหมดประมาณ 87 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 91,320 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 78 โครงการ มูลค่า 76,450 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,870 ล้านบาท

โดยโครงการคอนโดมิเนียมที่ได้กลับมาพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2566 นี้ ซึ่งบริษัทมีแผนเปิดตัวใหม่จำนวน 1 โครงการ  คือ โครงการ “The Key ศรีนครินทร์” มูลค่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายในไตรมาสที่ 3/2566

อย่างไรก็ตามในปี 2566 บริษัทได้เตรียมงบลงทุน 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า3,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทฯยังมีแผนขายโรงแรมในประเทศไทยเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และยังมีแผนออกหุ้นกู้อีก 14,000 ล้านบาท โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในส่วนของโรงแรมในพอร์ตของบริษัทที่ยังไม่ได้ขายเข้ากองรีทนั้นมี 2 โรงแรม ได้แก่แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ พัทยา” (Grande Centre Point Pattaya)และ “แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา“(Grande Centre Point Space Pattaya) ที่เปิดให้บริการอยู่ ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักกว่า 90% และอัตราค่าห้องพักที่ปรับตัวขึ้นเกินกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ไปแล้ว ทำให้ในปีนี้บริษัทจะมีการพิจารณานำโรงแรมทั้ง 2 แห่ง ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) ในปีนี้ มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท

ส่วนโรงแรมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างปัจจุบันมี 3 แห่ง ได้แก่ “”แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์”(Grande Centre Point Surawongse) ซึ่งจะเปิดในช่วงไตรมาส 4/2566 ,”แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ลุมพินี”(Grande Centre Point Lumpini) ซึ่งจะเปิดในไตรมาส 4/2567 และ “แกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ ราชดำริ2″(Grande Centre Point Ratchadamri2)ที่จะเปิดในช่วงไตรมาส 4/2569 อีกทั้งยังมีเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ และโรงแรมในสหรัฐฯ 4 แห่ง ที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งยังไม่ได้มีการพิจารณาการขายออกไป เพราะสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังสูงอย่างมาก ทำให้ระบบธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve (System) หรือ FED  ดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แบะส่งผลกระทบต่อมายังราคาขายทำให้ราคาขายอาจจะไม่เป็นไปตามที่บริษัทฯประเมินไว้

ด้านธุรกิจศูนย์การค้าของบริษัทฯมีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งในส่วนของการเช่าพื้นที่และค่าเช่าที่กลับมาปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาในส่วนของ Terminal 21 Pattaya ที่มีผู้เช่ากลับมาเช่าพื้นที่และสามารปรับเพิ่มค่าเช่าได้ ในส่วน “เทอมินอล พระราม3” (Terminal Rama3) ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อเดือนตุลาคม2565 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีอัตราการเช่า 95% และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ทำให้ Traffic อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้เต็มปี   

นอกจากนี้บริษัทยังมีส่วนแบ่งกำไรที่มาจากเงินลงทุนในบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์จำกัด(มหาชน)หรือQH ,บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) และบริษัท แอล เอชไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)หรือ LHFG ที่จะเข้ามาเสริมผลการดำเนินงานในปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ทำให้ยังคงเห็นผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในปี 2566 นี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 35,000 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,150 ล้านบาท

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*