เอสซีจี เซรามิกส์ แจงผลประกอบการปี 2565 รายได้จากการขายแตะ 13,157  ล้านบาท  เพิ่มขึ้น  17%   แม้จะได้รับปัจจัยกระทบจากสราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงฉุดยอดขายไตรมาส 4 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ด้านตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ 228 ล้านบาท จากการตั้งสำรองด้อยค่าของสินทรัพย์ และค่าเผื่อมูลค่าสินค้าลดลงของสินค้าคงเหลือของโรงงานผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่ ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้น เตรียมรับมือด้วยแผนลดต้นทุนการผลิตและเร่งโครงการ Energy Saving พร้อมดัน COTTO ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ โสสุโก้ และคัมพานา   เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ผ่านมาตลาดกระเบื้องเซรามิกซ์มีสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นผลมาจากกำลัง ของกลูกค้าต่างจังหวัดลดลง ขณะที่ราคาพลังงาน ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติและค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก กระทบต่อต้นทุนการผลิต รวมทั้งตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน มีความผันผวนเรื่องค่าเงิน จึงมีการควบคุมการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้ยอดขายในไตรมาส 4ของบริษัทลดลง 7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 โดยทำยอดขายได้ 3,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564

โดยมียอดขาดทุนสำหรับงวดประมาณ 741 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลประกอบการที่รวมการตั้งสำรองการด้อยค่าของสินทรัพย์ การตั้งค่าเผื่อมูลค่าสินค้าลดลงของสินค้าคงเหลือของโรงงานผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่ 847 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการออกจากงานด้วยความเห็นชอบร่วมกัน 20 ล้านบาท ทั้งนี้หากไม่รวมรายการสำคัญ ดังกล่าว ยอดตัวเลขขาดทุนจากการดำเนินงานปกติจะอยู่ที่ 47 ล้านบาท ลดลง178% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ผลประกอบการปี  2565  บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 13,157  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีรายได้ 11,194 ล้านบาท  ประมาณ 17%  เป็นผลจากการปรับราคาขายสินค้าขึ้นและยอดขายภายในประเทศที่เติบโตขึ้น โดยรายได้หลักมาจากการขายสินค้าภายในประเทศ 81% และส่งออกต่างประเทศ 19% ส่วนตัวเลขขาดทุนเท่ากับ 228 ล้านบาท ลดลง 139% จากช่วงเดียวกันของปี

สำหรับความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกโดยรวมในปี 2566 นายกำพลคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจโดยรวมที่น่าจะขยายตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว แต่ยังคงมีปัจจัยกระทบจากต้นทุนการผลิตยังที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะราคาพลังงาน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยบริษัทได้เตรียมรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งโครงการ Energy Saving ให้เกิดผลเร็วขึ้น

ในส่วนของการสร้างรายได้และกำไร คาดว่าจะได้ส่วนเพิ่มจากสินค้าและบริการใหม่ ๆ ทั้ง LT by COTTO, Pool & Decorative Tiles, C’Tis บริการติดตั้งวัสดุกรุผิวครบวงจร, ผลิตภัณฑ์ติดตั้งและซ่อมแซมพื้นผิว, SUSUNN Smart Solution ธุรกิจด้านการจัดการพลังงานและด้านวิศวกรรม

ทั้งนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าและคู่ค้า โดยการร่วมมือกับร้านค้าโมเดิร์นเทรด ผู้แทนจำหน่าย รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายและทั่วถึง บริหารพอร์ตสินค้า โดยจะเน้นขายสินค้าที่มีกำไรสูง   ตลอดจนปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานทั้งในด้านดีไซน์ ความสวยงาม คุณภาพสินค้า และการบริการที่เหนือกว่า เมื่อเทียบกับสินค้าทั้งในและต่างประเทศ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*