แอสเซทไวส์ฯเผยหลังเข้าร่วมทุนและซื้อหุ้นใน 2 บริษัทอสังหาฯ โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต และ ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้  ช่วยขยายฐานลูกค้าเสริมความแกร่งตลาดลักชัวรีภาคใต้เนื่อง ประกาศแผน 3-4 ปี นำที่ดินสะสม 80 ไร่ ในหาดในยางบางเทา-ราไวย์ ของพันธมิตร TITLE รุกผุดคอนโดฯระดับพรีเมี่ยมแมส ราคา 4-10 ล้านบาทต่อเนื่องอีก 9 โครงการรวมมูลค่า 14,050 ล้านบาท มั่นใจสร้างรายได้ตามเป้า 10,000 ล้านบาท ภายในปี 69 ส่วน”โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว” พร้อมเปิดพรีเซลก.ย.นี้
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในครึ่งปีหลัง 2566 ว่า มีแนวโน้มที่จะเป็นบวก และมั่นใจว่าการเมืองในประเทศไทยในขณะนี้ไม่มีผลกระทบต่อการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ แต่ถ้าหากการเมืองลากยาวกว่านี้ ก็อาจจะมีผลต่อยอดขายแน่นอนส่วนแนวโน้มการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะใน จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีการผสมผสานระหว่างประชาชนในท้องถิ่น,ต่างถิ่น และชาวต่างประทศ และเป็นจังหวัดแรกๆที่มีการฟื้นตัวเร็วจากวิกฤติโควิด-19 เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
บริษัทจึงตัดสินใจขยายธุรกิจไปสู่จังหวัดภูเก็ต โดยจับมือกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจตลาดภูเก็ตเป็นอย่างดี และร่วมผลักดันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ให้เติบโต ผ่านตลาดต่างชาติ โดยเริ่มจากเข้าร่วมทุน 30% กับ บริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ในการพัฒนาโครงการโบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว ลักชัวรี่ พูลวิลล่า ทำเลใกล้หาดลากูน่า ของภูเก็ต พื้นที่ 178 ไร่ เพื่อพัฒนาพูลวิลล่า ระดับลักชัวรี่ แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส ขนาดที่ดินตั้งแต่กว่า 100 ตารางวา – 1 ไร่ ราคาตั้งแต่ 70-100 กว่าล้านบาท จำนวนกว่า 200 ยูนิต  มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท เตรียมเปิดขายในปลายปี 2566 นี้

อีกทั้งยังได้เข้าซื้อหุ้น 57.79% จากผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมใน จ.ภูเก็ต มากว่า 20 ปี โดยซื้อหุ้นผ่านบริษัทย่อยของแอสเซทไวส์ โดยถือเป็น Good Timing (เวลาที่ดี) Good Deal (ข้อตกลงที่ดี) และ Good Company (บริษัทที่ดี) ที่จะหนุนให้การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้

​สำหรับเหตุผลในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ถือเป็น Good Timing เพราะสถานการณ์การท่องเที่ยวภูเก็ตดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น ชดเชยความต้องการที่ชะลอตัวลงช่วงโควิด 3 ปีที่ผ่านมา โดย TITLE สามารถเปิดขายและโอนทุกโครงการได้ทั้งหมด 100% อย่างรวดเร็ว ขณะที่โครงการล่าสุดที่ได้เปิดขายไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 คือ โครงการ THE TITLE HALO 1 NAIYANG สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 79 % คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกปี 2567

​ด้าน Good Deal ช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พันธมิตร และนักลงทุนได้เป็นอย่างดี        ด้วยความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัท มีส่วนสำคัญในการร่วมผลักดันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตให้เติบโต พร้อมต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และ TITLE ก็จะช่วยให้ช่องทางรับรู้รายได้ของแอสเซทไวส์ฯเพิ่มขึ้น

ขณะที่ Good Company มาจากการที่ TITLE เป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมใน จ.ภูเก็ต ซึ่งมีทีมผู้บริหารที่อยู่ในธุรกิจนี้มายาวนานกว่า 10 ปี มีเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ มีที่ดินในทำเลศักยภาพพร้อมพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทาง TITLE และแอสเซทไวส์ฯ มี DNA ที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีใจรักในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  มี Passion ในการพัฒนาโครงการที่ดี ใส่ใจในรายละเอียดการออกแบบ ควบคุมต้นทุนได้ดี ในขณะเดียวกันก็ได้รับการยอมรับอย่างมากในคุณภาพการก่อสร้าง และมีบริการหลังการขายที่ดี ประกอบกับมีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์ของ TITLE อยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติ ด้วยจุดแข็งของโครงการในด้านการออกแบบ และการตกแต่งให้สามารถใช้งานได้ตรงกับความต้องการ และบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางในโครงการที่ร่มรื่น  มีขนาดใหญ่ และสมบูรณ์กว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ซึ่งจุดนี้จะเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีต่อไปในอนาคต

​นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนในระยะเวลา 3-4 ปี (2566-2569)บริษัทฯมีแผนที่พัฒนาโครงการในนาม TITLE ที่จ.ภูเก็ต อีกประมาณ 9 โครงการ รวมมูลค่า 14,050 ล้านบาท โดยเป็นโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 80 ไร่ ใน 3 ทำเลศักยภาพของภูเก็ต ได้แก่ หาดในยาง ทั้งหมด 5 โครงการ, หาดบางเทา 3 โครงการ และหาดราไวย์ 1 โครงการ ประกอบกับ จ.ภูเก็ต อยู่ในระหว่างการขยายสนามบินนานาชาติเฟสที่ 2 และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้แอสเซทไวส์ คาดการณ์ว่า จะเป็นปัจจัยเสริมให้การพัฒนาโครงการดังกล่าว สามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทที่วางไว้ ใน 3 ปี (2567 – 2569) ต่อจากนี้ได้อย่างแน่นอน

“บริษัทฯเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด ที่ราคา 2.50 บาท/หุ้น ในปลายเดือนกันยายน 2566 นี้ ซึ่งโดยจะต้องใช้เงินอีกประมาณ 706 ล้านบาทโดยการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถขยายตลาดการพัฒนาโครงการในพื้นที่ภาคใต้ได้ทันที เนื่องจาก TITLE มีที่ดินพร้อมที่จะเปิดขายโครงการในภูเก็ตได้ทันทีรวม 9 แปลง รวม 80 ไร่ ใน 3 หาดสำคัญ หาดในยาง หาดราไวย์ และหาดบางเทา พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ระดับพรีเมี่ยมแมส ราคา 4-10 ล้านบาท มูลค่ารวม 14,050 ล้านบาท  ในระยะ 3 ปีจากนี้ โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายต่างชาติเป็นหลัก เนื่องจากที่ผ่านมา TITLE มีตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นต่างชาติกว่า 100 ราย จากที่มีทั้งหมด กว่า 200 ราย และลูกค้าที่ซื้อโครงการจะเป็นชาวต่างชาติ 49% ที่ส่วนใหญ่ซื้อแบบลีสต์โฮลด์ ระยะเวลา 90 ปี (3 สัญญาๆละ 30 ปี ) โดยลูกค้าต่างชาติอันดับ 1 ยังเป็นรัสเซีย รองลงมาจะเป็นชาวยุโรป และคนไทยที่ซื้อแบบฟรีโฮลด์ 51%”นายกรมเชษฐ์ กล่าว

นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมมือกับ TITLE ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่า แอสเซทไวส์ มั่นใจในศักยภาพการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต และยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯของ แอสเซทไวส์ให้เติบโตด้วยการขยายตัวไปในทำเลใหม่ ๆ ในตลาดที่หลากหลายเพิ่มขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังกับบริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการพูลวิลล่าระดับลักชัวรี่ในภูเก็ต เพื่อพัฒนาโครงการ “โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว” (BOTANICA Grand Avenue) ให้เป็นพูลวิลล่าระดับลักชัวรี่ที่ดีที่สุดบนหาดบางเทา คาดว่าจะพร้อมเปิดพรีเซลในเดือนกันยายนปีนี้

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาซื้อที่ดินในภูเก็ตเพิ่มอีก รวมถึงจะใช้ TITLE เป็นตัวรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ภาคใต้อย่างจริงจัง ตั้งแต่จ.ระนอง ลงไป พร้อมกับการเตรียมรุกตลาดแคมปัสคอนโดฯ หรือคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย ภายใต้แบรนด์ “เคฟ” อีกด้วย โดยที่ดินที่ยังสามารถพัฒนาคอนโดฯได้ ระดับราคาจะอยู่ที่ประมาณ 30-40 ล้านบาท/ไร่

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*