“พฤกษา โฮลดิ้ง” แนะเร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว หวังรีบแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง หวั่นดอกเบี้ยปรับขึ้นอีก ฉุดกำลังซื้อที่อยู่อาศัยแน่ โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 ทำกำไรสุทธิ 1,038 ล้านบาท เติบโต 141% มีรายได้รวม 7,107 ล้านบาท เติบโต 32% ส่งผลให้การดำเนินงานครึ่งปีแรก ทำกำไรสุทธิ 1,690 ล้านบาท รายได้รวม 13,665 ล้านบาท เติบโต 72% และ 20% ตามลำดับ ครึ่งปีหลังจ่อผุด 17 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 19,000 ล้านบาท มันใจยอดขายทั้งปีแตะ 24,000 ล้านบาท และยอดโอน 28,000 ล้านบาทตามเป้า
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง 2566 ว่า อยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ยังมีสูง และแก้ไขได้ยาก โดยหวังว่านโยบายจากการหาเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายต่างๆจะเป็นประโยชน์ ช่วยเหลือและลดภาระให้ประชาชนได้จริง แต่หากนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลสวนทางกัน ก็จะยิ่งฉุดกำลังซื้อให้ลดลง

อีกทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นมาสูงแล้ว และหวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทย หากทางธนาคารกลางสหรัฐ(FED)ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หรือในอนาคตไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยก็จะมีการปรับลดลงได้ ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อตลาดอสังหาฯ กำลังซื้อก็จะค่อยๆกลับมา แต่ถ้าหากดอกเบี้ยงยังปรับขึ้นสูง กำลังซื้อก็จะลดลง

สำหรับแนวทางการพัฒนาโครงการของบริษัทฯนั้นที่ผ่านมาจะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนไทยมากกว่าชาวต่างชาติ ซึ่งนิยมอยู่อาศัยคอนโดฯมากกว่า แต่โครงการของบริษัทฯส่วนใหญ่เป็นแนวราบ จึงได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆได้น้อยกว่าบริษัทอื่นๆที่พัฒนาคอนโดฯเป็นจำนวนมาก และจุดแข็งของบริษัทฯคือ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ในระดับราคาที่ลูกค้าจับต้องได้

“เราพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมา 30 ปี และเห็นวัฏจักรที่ขึ้น-ลง มาโดยตลอด ดังนั้นปัจจัยลบต่างๆจึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อพฤกษาฯ เพราะมีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง หนี้สินต่อทุนค่อนข้างต่ำ จึงสามารถเติบโตในตลาดได้ดี” นายอุเทน กล่าว

ส่วนกรณีศึกษาโครงการหรูย่านอโศกนั้น ในส่วนของพฤกษาฯนั้น ปัจจุบันยังไม่มีโครงการที่เข้าเกณฑ์และถูกฟ้องร้องแต่อย่างใด แต่ในอดีตเคยมีการถูกร้องเรียนที่ดินที่จะพัฒนาโครงการ “เดอะ รีเซิร์ฟ ทองหล่อ”ซึ่งบริษัทฯได้หยุดพัฒนาโครงการดังกล่าวไป เพื่อยุติปัญหากล่าว ดังนั้นก่อนที่บริษัทจะพัฒนาโครงการจะต้องมีการยืนยันกับลูกค้าก่อนว่า หากเกิดปัญหาอะไรจะต้องมีการชี้แจงให้ลูกค้าทราบก่อน หากดำเนินการอย่างถูกต้อง การดำเนินธุรกิจก็มีความเสี่ยงน้อยลง อีกทั้งปัจจุบันโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทฯจะเป็นแนวราบ ส่วนคอนโดฯจะมีการพัฒนาน้อยมาก จึงไม่ค่อยประสบปัญหา

 

นายอุเทน กล่าวถึงผลผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 ว่า บริษัทฯสามารถทำรายได้รวม 7,107 ล้านบาท เติบโต 32% ส่งผลมาจากการเติบโตของยอดขายทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลท์แคร์ ทำกำไรสุทธิ 1,038 ล้านบาท เติบโต 141% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 และในครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 1,690 ล้านบาท รายได้รวม 13,665 ล้านบาท โดยราว 700 ล้านบาท เป็นรายได้จากความสำเร็จในการสวอปหุ้นบริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด ที่เป็นบริษัทย่อยของ PSH เพื่อนำไปลงทุนในหุ้นของบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL ที่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะสร้างรายได้และการเติบโตที่แข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทฯ กำไรของครึ่งปีแรกถ้าหักรายการพิเศษจากการสวอปหุ้นออก ธุรกิจหลักของกลุ่มก็ ยังคงมีกำไรครึ่งปีแรกของปี 2566 เติบโตกว่า 10% จากปี 2565 สะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันทางกลุ่มประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทั้งยอดโอนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และด้านเฮลท์แคร์ ที่มีการเติบโตที่สูงขึ้น และยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) แผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำของ อินโน พรีคาสท์ ก็ทะลุกว่า 2,200 ล้านบาท สูงขึ้นเกินกว่าเท่าตัวจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 1,000 ล้านบาท อีกก้าวหนึ่งสู่ความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านการผลิตพรีคาสท์คาร์บอนต่ำแห่งเดียวในประเทศไทย

 

ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มียอดขาย 4,650 ล้านบาท เติบโต 4% จากไตรมาสก่อน มียอดโอน 5,650 ล้านบาท เติบโต 11% จากไตรมาส 2 ปี 2565 เป็นรายได้จากกลุ่มสินค้าแนวราบและการโอนคอนโดมิเนียม 6 โครงการ ต่อเนื่องมาจากช่วงต้นปี ในครึ่งปีแรกทำยอดขายได้ 9,116 ล้านบาท ยอดโอน 11,680 ล้านบาท พร้อมเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 4,848 ล้านบาท ซึ่งจากการเปิดตัวโครงการ “แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา” ทำยอดขายได้มากกว่า 50% ได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งจากคนไทยและต่างชาติ รวมถึงโครงการ “พลัมคอนโด นิวเวสต์” ย่านบางใหญ่ สามารถทำยอดจองในวันพรีเซลที่ผ่านมาได้ถึง 580 ล้านบาท ในราคาที่จับต้องได้ง่ายเริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท และจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก พฤกษาฯจึงได้พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2566 ให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท ถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่แข่งขันได้ในตลาด กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น วันที่ 28 สิงหาคม 2566 จ่ายเงินปันผล วันที่ 8 กันยายน 2566

สำหรับในครึ่งปีหลังมีแผนเปิดโครงการรวม 17 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 15 โครงการ มูลค่า 13,500 ล้านบาท และคอนโดฯ 2 โครงการ มูลค่า 5,500 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการระดับพรีเมียมในสัดส่วน 33% จากครึ่งปีแรกที่มีโครงการระดับพรีเมียม สัดส่วน 22% ส่งผลให้การเปิดตัวโครงการใหม่ตลอดทั้งปีเป็นไปตามแผน โดยในปีนี้ตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่กว่า 7,000 ล้านบาท ปัจจุบันซื้อไปแล้วประมาณ 50% ซึ่งมีทั้งที่ดินย่านชานเมืองและใกล้แนวรถไฟฟ้า โดยในจำนวนดังกล่าวจะวางสัดส่วนโครงการระดับพรีเมียมไม่เกิน 20% และสัดส่วน 90% จะเป็นโครงการในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล ส่วนตลาดต่างจังหวัดยังไม่ขยายตัวไปมากนัก เพราะยังไม่มีความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด หากยังไม่สามารถทำได้ดีพอ ก็ยังคงไม่เข้าไปพัฒนาแต่อย่างใด  หรือหากจะเข้าไปพัฒนาในพื้นที่จังหวัดไหน ก็จะต้องเข้าไปทั้งห่วงโซ่ของ PSH คือพัฒนาทั้งที่อยู่อาศัย และโรงพยาบาล เป็นต้น

ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์  ในไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้รวม 440 ล้านบาท เติบโต 117% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 รายได้รวมในครึ่งปีแรก 852 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลวิมุตทำรายได้ที่ไม่รวมโควิดเติบโตขึ้น 77% สัดส่วนจำนวนผู้ป่วยใหม่เข้ารับการรักษากว่า 26% และได้ขยายความร่วมมือกับ “นัลลูรี่” (Naluri) ผู้ให้บริการทางสุขภาพผ่านระบบดิจิทัล  ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจผ่านทางแอพพลิเคชั่นที่เน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยมอบสิทธิในการใช้บริการสำหรับผู้ที่เข้ามาใช้บริการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลวิมุตทุกราย ได้ใช้เป็นระยะเวลา 1 ปี พร้อมกับตั้งเป้ายกระดับให้ได้ตามมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ (HA) ในระดับ 3 ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อมอบบริการในระดับสากล และขยายบริการไปยังกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นด้วย และยังได้เปิดศูนย์ส่องกล้องและหน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร (ENDOSCOPY & GI MOTILITY UNIT) รวมถึงขยายความร่วมมือระหว่างกลุ่ม โดยโรงพยาบาลวิมุตและเทพธารินทร์ได้เตรียมความพร้อมในการจัดตั้ง Medical Academy เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ และสร้างรายได้ใหม่ให้กับกลุ่ม

นอกจากนี้ พฤกษา โฮลดิ้งฯยังได้รับคัดเลือกเป็นบริษัทจดทะเบียนกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 ประจำปี 2566 จากสถาบันไทยพัฒน์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (Environment Social Governance: ESG)  และได้รับการยอมรับเรื่องความโดดเด่นด้านการจัดทำรายงานความยั่งยืนตามมาตรฐาน Global Reporting Initiative ที่เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงการพัฒนาทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและเฮลท์แคร์ด้วยราคาที่เข้าถึงได้สำหรับคนทุกกลุ่มด้วย

“บริษัทฯยังคงเดินหน้าในการส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้า ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 จะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาทั่งหมด 4,970 ล้านบาท พร้อมกับการเดินหน้าในการขายสินค้าพร้อมอยู่ (Ready to move) ที่มีอยู่ราว 10,500 ล้านบาท ให้หมดในสิ้นปีนี้ ทำให้เป็นปัจจัยที่เร่งยอดขายและยอดโอนให้กับบริษัทได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ บริษัทยังคงเร่งเดินหน้าในการสร้างยอดขายและยอดโอนในช่วงครึ่งปีหลังต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งเป้าไว้ โดยบริษัทยังคงยอดขายไว้ที่ 24,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 28,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกบริษัททำยอดขายได้ 9,110 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38% ของเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ และยอดโอนในครึ่งปีแรกที่ 11,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% ของเป้าหมายยอดโอน”นายอุเทน กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*